หากบนสนามหญ้าด้านหน้าอาคารแห่งหนึ่งปักป้ายห้ามว่า
‘ห้ามเดินลัดสนาม’ เกิดมีใครสักผู้หนึ่งตั้งปุจฉาว่า แล้วถ้า ‘วิ่งลัดสนาม’
ล่ะจะผิดหรือไม่?
.....
กรณีตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด
‘วิ่งลัดสนาม’ ย่อมไม่เข้าองค์ประกอบเพราะป้ายห้ามเฉพาะกริยาเดิน
แต่กฎหมายนั้นมิอาจพิจารณาแต่ตัวอักษร กฎเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่กำหนดขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางประการของบุคคลผู้ออกกฎเกณฑ์ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์อะไรบางอย่าง
ดังนั้น
การตีความกฎหมายจึงต้องแสวงหาวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์แห่งกฎเกณฑ์ที่ออกมาเพื่อใช้บังคับบนตัวอักษรด้วยอีกชั้นหนึ่ง
.....
กฎหมายปกครองมีหลักประการหนึ่ง เรียกหลักนั้นว่า
‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ (argumentum a fortiori)
…..
หลักการ ‘อุดช่องว่าง’ ของกฎหมายโดยให้เหตุผลในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้
๒ กรณี คือ การให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’
จากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งเล็กกว่า (argumentum a maiore ad minus) และการให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’
จากสิ่งที่เล็กไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (argumentum a minore ad maius)
.....
ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘ผู้ใช้กฎหมายย่อมสามารถอุดช่องว่างของกฎหมายได้’ หากปรากฏจาก ‘วัตถุประสงค์’
ของการตรากฎหมายแล้ว ‘เห็นประจักษ์ชัด’
ว่าข้อเท็จจริงที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งเสียกว่า
…..
จากอุทาหรณ์ที่ยกมาข้างต้น
พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าข้อห้ามเดินลัดสนามมิได้มุ่งที่การเดินลัดสนามโดยแท้
แต่มุ่งคุ้มครองพื้นสนามให้พ้นเสียจากการถูกทำลายโดยผลแห่งการเดินลัดสนามของผู้หนึ่งผู้ใด
เป็นสำคัญ
.....
ดังนั้น เมื่อเดินลัดสนามยังห้าม
การวิ่งลัดสนามยิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกัน เพราะการกระทำเช่นว่านั้น
ย่อมขัดต่อวัตถุประสงค์ของป้ายห้ามเสียยิ่งกว่าการเดิน ตามนัยหลัก
‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ ด้วยประการฉะนี้
.....
สรุปสาระจากคำบรรยายของอ.วรพจน์ฯ
นำมาอธิบายขยายความโดยพิสดาร เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติราชการ
…..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น