วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

Dixit Dominus, HWV 232 - Last Chorus “Et in saecula saeculorum Amen” from Gloria Patri et Filio by George Frideric Handel


สุนทรียภาพของการขับร้องประสานเสียง (chorus) คือ สิ่งที่ภาษาเชิงสุนทรียศาสตร์ให้นิยามว่า harmony หรือ ความกลมกลืนกัน เป็นเสน่ห์แห่งพลังเสียงที่ส่งผ่านลำคอของกลุ่มนักร้อง ที่สำแดงถึงการผ่านกระบวนการฝึกซ้อมร่วมกันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญะแห่งการพลีกรรมเพื่อบูชาอะไรบางอย่างที่สถิตอยู่เบื้องบน
.....
บทเพลงสดุดี (psalm) Dixit Dominus, HWV 232 - Last Chorus “Et in saecula saeculorum Amen” from Gloria Patri et Filio ของ แฮนเดิล (George Frideric Handel) เพลงนี้ ถูกรังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 1707 ในอิตาลี ภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลขุนนางผู้ทรงอิทธิพลในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance : 1400–1600) นาม “โคลอนนา” (Colonna)
.....
“Dixit Dominus” เป็นภาษาลาติน ที่หมายถึง “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ถูกแฮนเดิลจัดวางโครงสร้างทางดนตรีในแนว “บาโรค” (Baroque : 1600–1750) ซึ่งเป็นดนตรีคลาสสิคที่เปลี่ยนผ่านจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่คีตกวีจะเน้นสรรค์สร้างผลงานขึ้นเพื่อรับใช้ศาสนา ภายใต้การครอบงำของศาสนจักร เข้าสู่การรับใช้กลุ่มชนชั้นสูงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ดนตรียังคงเป็นเครื่องมือเชิงชนชั้นที่ผูกสัมพันธ์กับศาสนาอย่างแนบแน่น
.....

หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น (argumentum a fortiori)


หากบนสนามหญ้าด้านหน้าอาคารแห่งหนึ่งปักป้ายห้ามว่า ‘ห้ามเดินลัดสนาม’ เกิดมีใครสักผู้หนึ่งตั้งปุจฉาว่า แล้วถ้า ‘วิ่งลัดสนาม’ ล่ะจะผิดหรือไม่?
.....
กรณีตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด ‘วิ่งลัดสนาม’ ย่อมไม่เข้าองค์ประกอบเพราะป้ายห้ามเฉพาะกริยาเดิน แต่กฎหมายนั้นมิอาจพิจารณาแต่ตัวอักษร กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางประการของบุคคลผู้ออกกฎเกณฑ์ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์อะไรบางอย่าง ดังนั้น การตีความกฎหมายจึงต้องแสวงหาวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์แห่งกฎเกณฑ์ที่ออกมาเพื่อใช้บังคับบนตัวอักษรด้วยอีกชั้นหนึ่ง
.....
กฎหมายปกครองมีหลักประการหนึ่ง เรียกหลักนั้นว่า ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ (argumentum a fortiori)
…..
หลักการ ‘อุดช่องว่าง’ ของกฎหมายโดยให้เหตุผลในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ ๒ กรณี คือ การให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งเล็กกว่า (argumentum a maiore ad minus) และการให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่เล็กไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (argumentum a minore ad maius)
.....
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ใช้กฎหมายย่อมสามารถอุดช่องว่างของกฎหมายได้’ หากปรากฏจาก ‘วัตถุประสงค์’ ของการตรากฎหมายแล้ว ‘เห็นประจักษ์ชัด’ ว่าข้อเท็จจริงที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งเสียกว่า
…..
จากอุทาหรณ์ที่ยกมาข้างต้น พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าข้อห้ามเดินลัดสนามมิได้มุ่งที่การเดินลัดสนามโดยแท้ แต่มุ่งคุ้มครองพื้นสนามให้พ้นเสียจากการถูกทำลายโดยผลแห่งการเดินลัดสนามของผู้หนึ่งผู้ใด เป็นสำคัญ
.....
ดังนั้น เมื่อเดินลัดสนามยังห้าม การวิ่งลัดสนามยิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกัน เพราะการกระทำเช่นว่านั้น ย่อมขัดต่อวัตถุประสงค์ของป้ายห้ามเสียยิ่งกว่าการเดิน ตามนัยหลัก ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ ด้วยประการฉะนี้
.....
สรุปสาระจากคำบรรยายของอ.วรพจน์ฯ นำมาอธิบายขยายความโดยพิสดาร เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติราชการ
…..