วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562

“หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น” กับกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นกรรมาธิการงบประมาณ


ประเด็นข่าว “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 มีความน่าสนใจว่า แล้วนายธนาธรฯ เป็นกรรมาธิการฯ ดังกล่าวได้หรือไม่ เราลองมาพิจารณาว่า จะมีหลักกฎหมายประการใดมาปรับใช้ได้บ้าง
.
เนื่องจาก นายธนาธรฯ เป็น ส.ส. แต่ขณะนี้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
.
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เห็นว่า การตั้งคณะกรรมาธิการ เป็นเรื่องของสภาฯ ลงมติตั้ง “ใครก็ได้” เป็นกรรมาธิการวิสามัญ
.
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เห็นภาคเสธ คือ แบ่งรับแบ่งสู้ว่า กรรมาธิการวิสามัญฯ คือ กลุ่มบุคคล ที่สภาผู้แทนราษฎรมอบหมายให้ไปทำหน้าที่แทน แตกต่างกับกรรมาธิการสามัญฯ ตรงที่กรรมาธิการสามัญ ต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น ส่วนกรรมาธิการวิสามัญ อาจจะเป็น “บุคคลภายนอกที่ไม่เป็น ส.ส.
.
นายสิระ เจนจาคะ จากพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่านายธนาธรฯ ยังคงมีสถานะเป็น ส.ส. แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นกรรมาธิการ หากมีปล่อยให้ร่วมประชุมและมีการลงมติต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่จะส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นโมฆะไปด้วย
.
กฎหมายมหาชน มีหลักประการหนึ่ง เรียกหลักนั้นว่า ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ (argumentum a fortiori)
.
หลักการ ‘อุดช่องว่าง’ ของกฎหมายโดยให้เหตุผลในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ ๒ กรณี คือ การให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งเล็กกว่า (argumentum a maiore ad minus) และการให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่เล็กไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (argumentum a minore ad maius)
.
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ใช้กฎหมายย่อมสามารถอุดช่องว่างของกฎหมายได้’ หากปรากฏจาก ‘วัตถุประสงค์’ ของการตรากฎหมายแล้ว ‘เห็นประจักษ์ชัด’ ว่าข้อเท็จจริงที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงนั้น จะต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งเสียกว่า
.
จากข้อเท็จจริงตามความเห็นของนายชวนฯ และนายวิษณุฯ ที่เห็นสอดคล้องกันสรุปได้ว่า การเป็นกรรมาธิการฯ จะเป็นผู้ที่มาจาก ส.ส. หรือมิใช่ ส.ส. ก็ย่อมได้ ข้อเท็จจริง นายธนาธรฯ เป็น ส.ส. เพียงแต่ศาลฯ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เท่านั้น เมื่อผู้ที่แม้มิได้เป็น ส.ส. ยังเป็นกรรมาธิการฯ ได้ ภายใต้ “หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น” ที่ยกมา จึงเห็นว่า นายธนาธรฯ ยิ่งต้องเป็นกรรมาธิการฯ ได้
.

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562


ภาพนี้มีชื่อว่า ‘The Tavern Sceneเป็นผลงานจากการรังสรรค์ของจิตรกรชาวอังกฤษนาม วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) ในปี ค.ศ. 1735 บ้างเรียกภาพนี้ว่า ‘The Orgyที่สื่อถึงโลกียชนผู้เริงรมย์อย่างขาดสติ ภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพชุด A Rake's Progress ซึ่งทั้งชุดมีจำนวนทั้งสิ้น 8 ภาพ ถูกถ่ายทอดออกมาระหว่างปี ค.ศ. 1732-33 โดยภาพ The Tavern Scene เป็นภาพในลำดับที่ 3
…..
ภาพสำแดงให้เห็นถึงความมัวเมา ฟุ้งเฟ้อ ในการเดินทางมาใช้ชีวิตของ ทอม แรคเวลล์ (Tom Rakewell) ในลอนดอน ด้วยการรายล้อมไปด้วยนางโลมและการพนัน ณ สถานเริงรมย์ ถ้าสังเกตให้ดี ในภาพจะเห็นถึงจุดด่างบนเรือนหน้าของนามโลมนั้น ก็เพื่ออำพรางรอยแผลของซิฟิลิส ทั้งนี้ แรคเวลล์ โดยแท้เป็นบุตรชายของคหบดีผู้มั่งคั่ง แต่ชีวิตเขากลับต้องไปจบลงที่เรือนจำฟลีต (Fleet Prison) และท้ายสุดที่โรงพยาบาลเบธเล็ม (Bethlem Hospital)
.....
หากพิเคราะห์จากบริบทเชิงประวัติศาสตร์ ภาพชุดนี้ เกิดขึ้นในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 18 ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) และเป็นยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญแก่เหตุผลก่อนที่จะค่อยจางคลายไปภายใต้แนวคิดศิลปะจินตนิยม (Romanticism) ที่จะเริ่มต้นในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญแก่อารมณ์เข้ามาแทนที่
.....

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

Dixit Dominus, HWV 232 - Last Chorus “Et in saecula saeculorum Amen” from Gloria Patri et Filio by George Frideric Handel


สุนทรียภาพของการขับร้องประสานเสียง (chorus) คือ สิ่งที่ภาษาเชิงสุนทรียศาสตร์ให้นิยามว่า harmony หรือ ความกลมกลืนกัน เป็นเสน่ห์แห่งพลังเสียงที่ส่งผ่านลำคอของกลุ่มนักร้อง ที่สำแดงถึงการผ่านกระบวนการฝึกซ้อมร่วมกันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญะแห่งการพลีกรรมเพื่อบูชาอะไรบางอย่างที่สถิตอยู่เบื้องบน
.....
บทเพลงสดุดี (psalm) Dixit Dominus, HWV 232 - Last Chorus “Et in saecula saeculorum Amen” from Gloria Patri et Filio ของ แฮนเดิล (George Frideric Handel) เพลงนี้ ถูกรังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 1707 ในอิตาลี ภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลขุนนางผู้ทรงอิทธิพลในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance : 1400–1600) นาม “โคลอนนา” (Colonna)
.....
“Dixit Dominus” เป็นภาษาลาติน ที่หมายถึง “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ถูกแฮนเดิลจัดวางโครงสร้างทางดนตรีในแนว “บาโรค” (Baroque : 1600–1750) ซึ่งเป็นดนตรีคลาสสิคที่เปลี่ยนผ่านจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่คีตกวีจะเน้นสรรค์สร้างผลงานขึ้นเพื่อรับใช้ศาสนา ภายใต้การครอบงำของศาสนจักร เข้าสู่การรับใช้กลุ่มชนชั้นสูงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ดนตรียังคงเป็นเครื่องมือเชิงชนชั้นที่ผูกสัมพันธ์กับศาสนาอย่างแนบแน่น
.....

หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น (argumentum a fortiori)


หากบนสนามหญ้าด้านหน้าอาคารแห่งหนึ่งปักป้ายห้ามว่า ‘ห้ามเดินลัดสนาม’ เกิดมีใครสักผู้หนึ่งตั้งปุจฉาว่า แล้วถ้า ‘วิ่งลัดสนาม’ ล่ะจะผิดหรือไม่?
.....
กรณีตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด ‘วิ่งลัดสนาม’ ย่อมไม่เข้าองค์ประกอบเพราะป้ายห้ามเฉพาะกริยาเดิน แต่กฎหมายนั้นมิอาจพิจารณาแต่ตัวอักษร กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางประการของบุคคลผู้ออกกฎเกณฑ์ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์อะไรบางอย่าง ดังนั้น การตีความกฎหมายจึงต้องแสวงหาวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์แห่งกฎเกณฑ์ที่ออกมาเพื่อใช้บังคับบนตัวอักษรด้วยอีกชั้นหนึ่ง
.....
กฎหมายปกครองมีหลักประการหนึ่ง เรียกหลักนั้นว่า ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ (argumentum a fortiori)
…..
หลักการ ‘อุดช่องว่าง’ ของกฎหมายโดยให้เหตุผลในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ ๒ กรณี คือ การให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งเล็กกว่า (argumentum a maiore ad minus) และการให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่เล็กไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (argumentum a minore ad maius)
.....
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ใช้กฎหมายย่อมสามารถอุดช่องว่างของกฎหมายได้’ หากปรากฏจาก ‘วัตถุประสงค์’ ของการตรากฎหมายแล้ว ‘เห็นประจักษ์ชัด’ ว่าข้อเท็จจริงที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งเสียกว่า
…..
จากอุทาหรณ์ที่ยกมาข้างต้น พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าข้อห้ามเดินลัดสนามมิได้มุ่งที่การเดินลัดสนามโดยแท้ แต่มุ่งคุ้มครองพื้นสนามให้พ้นเสียจากการถูกทำลายโดยผลแห่งการเดินลัดสนามของผู้หนึ่งผู้ใด เป็นสำคัญ
.....
ดังนั้น เมื่อเดินลัดสนามยังห้าม การวิ่งลัดสนามยิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกัน เพราะการกระทำเช่นว่านั้น ย่อมขัดต่อวัตถุประสงค์ของป้ายห้ามเสียยิ่งกว่าการเดิน ตามนัยหลัก ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ ด้วยประการฉะนี้
.....
สรุปสาระจากคำบรรยายของอ.วรพจน์ฯ นำมาอธิบายขยายความโดยพิสดาร เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติราชการ
…..