วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

“ความตาย” ภาษา-บรรดาศักดิ์-ชนชั้น-ศักดินา

คำว่า “ตาย” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า:- สิ้นใจ, สิ้นชีวิต, ไม่เป็นอยู่ต่อไป, สิ้นสภาพของการมีชีวิต. อย่างไรก็ตาม คำว่าตายเมื่อพิจารณาอย่างแยบคายกลับมีเรื่องราวน่าสนใจแฝงอยู่มากมาย เพราะสิ่งมีชีวิตเมื่อถึงคราวตายในภาษาไทยกลับมีคำเรียกซึ่งมีความหมายว่าตายจำแนกได้แตกต่างกัน

คำว่า “ตาย” ภาษาอังกฤษว่า die: (of a person, animal, or plant) stop living.

เมื่อสืบค้นเอกสารเก่าเก็บทำให้ทราบความว่า ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๔ เคยมี “ประกาศให้ใช้คำต่อแลคำตาย[1] ในการนี้จะกล่าวเฉพาะแต่ส่วนคำตายซึ่งประกาศฯ ได้บรรยายความไว้ ดังต่อไปนี้
ถึงชีพิตักษัยสำหรับหม่อมเจ้า ถึงแก่พิราลัยสำหรับเจ้าประเทศราช ถึงแก่มรณภาพสำหรับพระสงฆ์มีบรรดาศักดิ์ ถึงอนิจกรรมสำหรับขุนนางเจ้าพระยานา ๑๐๐๐๐ ถึงอสัญกรรมสำหรับขุนนางเป็นพระยา ถึงแก่กรรมสำหรับพระหลวงลงไปจนมหาดเล็กหลวง แลจางวางนายเวรปลัดเวรของเจ้าต่างกรมแลยังมิได้ตั้งกรม แลพระสงฆ์สามเณรสามัญ แลกงสุลแลผู้ช่วยราชการกงสุลต่างประเทศบาดแลหลวงญวน
ตายสำหรับเลขไพร่หลวงไพร่สมมหาดเล็กขอเฝ้าเจ้าต่างกรม แลยังไม่ได้ตั้งกรม แลเสมียนทนายจีนผูกปี้จีนสักแลทาสเชลยแลคนลูกค้าต่างประเทศ ที่มิใช่กงสุลแลมิใช่ผู้ช่วยกงสุลต้องว่าตายหมด ว่าถึงแก่กรรมไม่ได้เลย สัตว์เดียรัจฉานที่มิใช่สัตว์คนเลี้ยงทั้งปวง คือนกเนื้อปลาลงไปจนมดปลวก แลต้นไม้ใบหญ้าให้ว่าตายหมดว่าอย่างอื่นไม่ได้ แต่สัตว์ที่เป็นของคนเลี้ยง คือ ช้างม้าโคกระบือแพะแกะแลนกเขาไก่เป็ดปลาเงินปลาทองให้ว่าล้ม หรือจะว่าล้มแต่ช้างม้าขึ้นระวางนอกนั้นจะว่าตายก็ได้
คำว่าถึงแก่กรรม ใช้ได้แต่ผู้มีบรรดาศักดิ์ ไพร่ใช้ไม่ได้ ...
พิเคราะห์จากประกาศฯ ข้างต้น เป็นส่วน ๆ ได้ ดังนี้

๑ “ถึงชีพิตักษัย” สำหรับหม่อมเจ้า
ในประกาศฯ กล่าวคำตายถึงเพียงชั้นหม่อมเจ้า สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์แล้วหม่อมเจ้านับเป็นชั้นต่ำสุด ดังนั้นเพื่อให้ครบถ้วนกระบวนความ จึงได้รวบรวมคำตายของพระบรมวงศานุวงศ์ในชั้นสูงกว่าหม่อมเจ้าว่ามีคำซึ่งมีความหมายว่าตายประการใดบ้าง
 “สวรรคต, เสด็จสวรรคต”[2] [สะหฺวันคด, สะเด็ด-] เป็นคำที่ใช้ในราชาศัพท์ หมายถึง ไปสู่สรรค์, ตาย, (ใช้แก่พระมหากษัตริย์, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระบรมราชินี, หรือผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นการเฉพาะ คำนี้ มาจากสันสกฤต (สฺวรฺค + คต ว่า ไปสู่สวรรค์);

พระอิสริยยศพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์[3]
๑. สมเด็จพระราชินี : พระอิสริยยศของพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้รับพระบรมราชาภิเษก
๒. สมเด็จพระบรมราชินี : พระอิสริยยศของพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์
๓. สมเด็จพระบรมราชินีนารถ : พระอิสริยยศของพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์ที่ทรงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์
“ทิวงคต”[4] [ทิวงคด] เป็นคำที่ใช้ในราชาศัพท์ หมายถึง ไปสู่สวรรค์, ตาย, ใช้แก่ สมเด็จพระยุพราช หรือเจ้าฟ้าซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเฉลิมพระยศเป็นพิเศษ; (ยุพ- หมายถึง หนุ่ม, สาว บาลีแลสันสกฤตว่า ยุว. ยุพราช มีความหมายว่า รัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาขึ้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระยุพราช โดยพระราชทานยุพราชาภิเษกหรือโดยพิธีอย่างอื่นสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ.)
“สิ้นพระชนม์”[5] เป็นคำที่ใช้ในราชาศัพท์ หมายถึง ตาย ใช้แก่ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และสมเด็จพระสังฆราช; ราชาศัพท์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน[6] ให้แนวทางว่า ใช้แก่ พระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า จนถึงพระอนุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า.
“สิ้นชีพตักษัย, ถึงชีพิตักษัย”[7] เป็นคำใช้ในราชาศัพท์มีความหมายว่า ตาย (ใช้เฉพาะหม่อมเจ้า) โบราณใช้ว่า ถึงแก่ชีพิตักษัย ก็มี:- (ตักษัย[8] [ตักไส] กลอน; ตัดมาจาก ชีวิตักษัย มีความหมายว่า สิ้นชีวิต, ตาย) 
ไทยมีฐานันดรศักดิ์[9] หลายประเภท ประกอบด้วย
๑ ฐานันดรศักดิ์ของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ เรียกว่า “พระยศเจ้านาย”
๒ ฐานันดรศักดิ์ของพระสงฆ์ เรียกว่า “สมณศักดิ์”
๓ ฐานันดรศักดิ์ของขุนนางและพราหมณ์ในราชสำนัก เรียกว่า “บรรดาศักดิ์”

ในชั้นแรก จะกล่าวถึงพระยศเจ้านายชั้นหม่อมเจ้า
พระยศเจ้านาย[10] ชั้น “หม่อมเจ้า” ภาษาอังกฤษว่า Her Serene Highness Prince/Princess นับเป็นชั้นสกุลยศต่ำสุดใน “พระบรมวงศานุวงศ์” สำหรับพระโอรสธิดาใน สมเด็จเจ้าฟ้ากับสามัญชน หรือ พระโอรสธิดาใน พระองค์เจ้ากับสามัญชน

“พระบรมวงศานุวงศ์” คือ ญาติของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีพระยศเป็นเจ้า แบ่งออกเป็นสองชั้น คือ

ชั้นที่ ๑ “พระบรมวงศ์” หมายถึง วงศ์ใหญ่ คือ บรรดาพระราชโอรสธิดาในพระเจ้าแผ่นดินหรือพระญาติใกล้ชิด เช่น พ่อ, แม่, พี่, น้อง เป็นต้น โดยสามารถจำแนกเป็นชั้นได้ ดังนี้

๑.๑ สมเด็จพระมหาอุปราช หมายถึง พระราชวงศ์ที่ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอุปราชาภิเษกมีฐานะเป็นองค์รัชทายาทสืบสันตติวงศ์ต่อไป
อุปราช [อุปะหฺราด, อุบปะหฺราด] เป็นคำโบราณ หมายถึง ผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์ประจำภาคหนึ่ง ๆ ในอาณาจักร; อภิเษก มีความหมายว่า แต่งตั้งโดยการทำพิธีรดน้ำ เช่น พิธีขึ้นเสวยราชย์ของพระมหากษัตริย์. สันสกฤษแลบาลีว่า อภิเสก:- อุปราช + อภิเษก จึงมีความหมายว่า แต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์.
๑.๒ สมเด็จพระบรมวงศ์ หมายถึง พระบรมวงศ์ชั้นสูง ทรงสัปตปฎลเศวตฉัตร
สัปต- [สับตะ-] มีความหมายว่า ‘เจ็ด’ มาจากสันสกฤต; ปฎล [ปะดน] มีความหมายว่า ‘ชั้น’ บาลีว่า ปฏล; เศวต, เศวต- [สะเหฺวด, สะเหฺวดตะ] มีความหมายว่า ‘สีขาว’สันสกฤตแลบาลีว่า ‘เสต’; ฉัตร, ฉัตร- [ฉัด, ฉัดตฺระ] หมายถึงเครื่องสูงชนิดหนึ่งมีรูปคล้ายร่มที่ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ชั้นบนมีขนาดเล็กกว่าชั้นล่างลดหลั่นกันไปตามลำดับ สำหรับ แขวน ปัก ตั้ง หรือเชิญเข้ากระบวนแห่เป็นเกียรติยศ. สันสกฤตว่า ฉตฺร บาลีว่า ฉตฺต มีความหมายว่า ‘ร่ม’; เมื่อนำมาสมาสกัน สัปตปฎลเศวตฉัตร จึงมีความหมายว่า ฉัตรขาวเจ็ดชั้น เป็นเครื่องยศสำหรับพระบรมวงศ์ษานุวงศ์ชั้นสูง อาทิ พระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้รับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก, สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จพระบรมราชชนก, สมเด็จพระบรมราชชนนี, สมเด็จพระยุพราช, สมเด็จพระบรมราชกุมารี, พระบรมราชาธิบดีนครเชียงใหม่, ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระราชทานเป็นพิเศษ.
๑.๓ พระราชโอรส-ธิดา หมายถึง บรรดาพระราชโอรสธิดาในพระมหากษัตริย์ ที่ประสูติพระมเหสีเทวีเจ้าและพระสนม

ชั้นที่ ๒ “พระอนุวงศ์” หมายถึง วงศ์เล็ก คือ บรรดาพระราชนัดดา พระราชปนัดดา ของพระเจ้าแผ่นดิน โดยสามารถจำแนกเป็นชั้นได้ ดังนี้

๒.๑ พระราชนัดดา หมายถึง หลานปู่ หลานตา ของพระมหากษัตริย์
๒.๒ พระโอรส-ธิดาของสมเด็จพระมหาอุปราช
๒.๓ พระราชปนัดดา หมายถึง เหลนของพระมหากษัตริย์

บุคคลนับเนื่องในราชสกุลลงมาจากหม่อมเจ้า แม้มีคำนำหน้านามเป็นพิเศษอยู่ ก็ถือเป็นเพียงสามัญชน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

หม่อมราชนิกุล หรือ หม่อมราชนิกูล[11] เป็นยศพิเศษที่พระราชทานให้แก่หม่อมราชวงศ์ชายที่ปฏิบัติความดีความชอบในราชการแผ่นดิน ถ้าเทียบกับพระยศเจ้านาย ถือว่าสูงกว่าหม่อมราชวงศ์แต่ต่ำกว่าหม่อมเจ้า ถ้าเทียบกับบรรดาศักดิ์ฝ่ายขุนนาง ถือว่าศักดิ์สูงกว่าพระแต่ต่ำกว่าพระยา สมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกว่า เจ้าราชนิกุล ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ใช้คำว่า หม่อม แทนคำว่า เจ้า
อย่างไรก็ตาม หม่อมราชนิกูลนั้นไม่นับว่าเป็นเจ้านายในพระราชวงศ์แต่อย่างใด เป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ (ราชนิกุล) มิใช่เจ้า จึงไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ และบุตร-ธิดาของหม่อมราชนิกูลก็ยังคงเป็นหม่อมหลวงเช่นเดิม
หม่อมราชวงศ์ (ม.ร.ว.) คือ ฐานันดรศักดิ์ที่รองลงมาจากหม่อมเจ้า เป็นคำนำหน้านามสำหรับโอรสธิดาในหม่อมเจ้า เรียกโดยลำลองว่า คุณหญิง คุณชาย ฐานันดรศักดิ์นี้ บัญญัติขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ (ราชนิกุล) มิใช่เจ้า
หม่อมหลวง (ม.ล.) คือ บุตรธิดาของหม่อมราชวงศ์ เป็นคำนำหน้านามขั้นสุดท้ายของเชื้อพระวงศ์ ในการเรียกโดยลำลอง ให้ใช้คำนำหน้าว่า คุณ ฐานันดรศักดิ์นี้ บัญญัติขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ (ราชนิกุล) มิใช่เจ้า
๔ “ณ อยุธยา[12]เป็นการสร้อยต่อท้ายนามสกุลสำหรับราชสกุล ใช้กับบุตรธิดาของหม่อมหลวง และหม่อม และภรรยาของหม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวงด้วย เขียนเป็นอักษรโรมันว่า “na Ayudhya

ประวัติความเป็นมา
สืบเนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยบัญญัติไว้ว่า “ผู้ที่สืบเชื้อสายทางบิดามาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันให้ใช้นามสกุลเดียวกัน” เป็นเหตุให้คนไทยมีนามสกุลใช้

กาลต่อมา เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศเพิ่มเครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชตระกูล” ซึ่งมีความว่า “มีพระราชดำริถึงนามสกุลที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้ที่สืบต่อจากราชตระกูลลงมาโดยสายต่าง ๆ นั้น ต่อไปภายหน้านามสกุลเหล่านี้อาจไปปะปนกับนามสกุลสามัญ จนไม่อาจทราบได้ว่า นามสกุลใดเป็นนามสกุลสำหรับราชตระกูล เพราะไม่มีเครื่องหมายเป็นที่สังเกต และเนื่องจากมีพระราชดำริที่จะดำรงนามสกุลสำหรับราชตระกูลให้ยืนยงอยู่ชั่วกัลปาวสาน

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า บรรดานามสกุลซึ่งได้ทรงขนานพระราชทานแก่ผู้สืบสายราชตระกูลนั้น ให้มีคำว่า ณ กรุงเทพ เพิ่มท้ายนามสกุลนั้น และห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้สืบสายราชตระกูลใช้คำ ณ กรุงเทพ เป็นนามสกุลหรือต่อท้ายนามสกุลของตน แม้แต่ผู้ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตพิเศษให้ใช้นามสกุลสำหรับราชตระกูลได้ จะเติมคำ ณ กรุงเทพ ลงด้วยไม่ได้”

และเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริพิจารณาคำว่า กรุงเทพ นั้น เป็นคำที่ใช้นำหน้านามมหานครซึ่งเป็นราชธานี เช่น ใช้ว่า กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา เป็นนามของพระนครศรีอยุธยาเมื่อครั้งเป็นราชธานี และใช้คำว่า กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ เป็นนามของพระมหานครราชธานีในปัจจุบัน ดังนั้น คำว่า กรุงเทพ จึงมีความหมายถึงราชธานี ๒ แห่ง โดยไม่แน่ชัดว่าเป็นแห่งใด และเนื่องจากมีพระราชดำริว่า พระบรมราชวงศ์นี้เดิมเป็นสกุลอันมหาศาลที่มีมาตั้งแต่สมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศแก้เครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชสกุล ความว่า “ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้สืบสายแต่ราชสกุลใช้คำว่า ณ กรุงเทพ ต่อท้ายนามสกุลนั้น เป็น ณ อยุธยา ตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งตรงกับวันมหาจักรี

จากนั้น ในวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า “ในขณะนั้นการออกพระนามหม่อมเจ้าโดยใช้พระนามของพระบิดาต่อท้ายเพื่อให้ทราบว่าเป็นหม่อมเจ้าในกรมใดหรือพระองค์ใด นั้น เมื่อได้มีการพระราชทานนามสกุลสำหรับเจ้าต่างกรมและพระองค์เจ้าแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้นามสกุลต่อนามหม่อมเจ้าแทนการใช้นามกรมเช่นแต่ก่อน แต่หม่อมเจ้าซึ่งทรงสถาปนาให้มีพระเกียรติยศเป็นพระองค์เจ้าไม่ต้องใช้นามสกุลต่อท้ายพระนาม

โดย “ณ อยุธยา” มีลักษณะการใช้ ดังต่อไปนี้

๑ ผู้ที่มีสกุลยศตั้งแต่พระองค์เจ้าขึ้นไปไม่ต้องใช้นามสกุลต่อท้ายพระนาม
๒ ผู้ที่มีสกุลยศหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวงใช้นามสกุลต่อท้ายนาม โดยมิต้องมีสร้อย “ณ อยุธยา”
๓ ผู้ที่สืบสายจากราชสกุลที่มิได้มีสกุลยศเป็นหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง ให้ใช้สร้อย “ณ อยุธยา” ต่อท้ายนามสกุล
๔ สตรีสามัญซึ่งสมรสกับผู้ที่สืบสายจากราชสกุลทั้งที่มีสกุลยศและไม่มีสกุลยศ ต้องใช้สร้อย “ณ อยุธยา” ต่อท้ายนามสกุลด้วย
๕ การใช้สร้อย “ณ อยุธยา” ต่อท้ายนามสกุลนั้น ใช้สำหรับผู้ที่สืบเชื้อสายจากราชสกุลฝ่ายบุรุษเท่านั้น ส่วนทายาทของสายราชสกุลที่เป็นสตรีนำนามราชสกุลของตนมาใช้ได้ แต่จะใช้สร้อย “ณ อยุธยา” ไม่ได้

พระยศเจ้านาย[13] ในราชสกุลมี ๒ ประเภท ประกอบด้วย สกุลยศ คือ ยศที่เกิดเป็นเจ้าชั้นใดในเบื้องต้น เจ้านายที่เกิดในสกุลยศชั้นใดก็อยู่ในชั้นยศชั้นนั้น เป็นยศที่ได้โดยการเกิด และ อิสริยยศ คือ ยศที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาแต่งตั้งให้ทางราชการในภายหลัง

สกุลยศ
สกุลยศของเจ้านายนั้น บรรดาผู้ที่เกิดในราชตระกูลจะเป็นราชบุตร ราชธิดา หรือราชนัดดาก็ตาม จะเรียกว่า “เจ้า” โดยแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ ดังนี้

. เจ้าฟ้า มีความแตกต่างกัน ๓ ชั้น คือ

๑.๑ เจ้าฟ้าชั้นเอก:- เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ใช้คำนำสกุลยศ “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ, ลูกเธอ และ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ” และต้องถือประสูติข้างพระมารดาเป็นพระอัครมเหสีหรือพระภรรยาเจ้าชั้นสูง (บรมราชินีนาถ, บรมราชินี, บรมราชเทวี, พระอัครราชเทวี) หรือพระมารดาพระยศโดยประสูติเดิมเป็นพระราชธิดา ในพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง, พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิง แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะไม่พระราชทานเลื่อนพระอิสริยยศชั้นพระมเหสีใด ๆ แด่พระมารดา พระราชโอรสธิดาก็ได้รับสกุลยศเจ้าฟ้าในชั้นนี้โดยปริยายเช่นกัน เพราะถือว่าพระมารดาดำรงพระยศพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงอยู่แล้วหรือจะเรียกได้ว่า ผู้คู่ควรมีบุตรเป็นเจ้าฟ้าโดยสกุลยศ) เรียกลำลองว่า “ทูลกระหม่อม” บางแห่งเรียกเจ้าฟ้าชั้นนี้ว่า “พระหน่อพุทธเจ้า” หรือ “เจ้านายหมู่สืบสันตติวงศ์ (องค์รัชทายาท)” ในส่วนเจ้านายฝ่ายในชั้นนี้ ในโบราณกาลมักนิยมขอพระราชทานไปดำรงตำแหน่งพระมเหสี เพื่อหมายให้ทายาทที่ถือประสูติแด่พระนางนั้นได้มีสิทธิ์ในการเป็นรัชทายาทฝ่ายพระมารดาด้วย ดังนั้นถือว่า การสืบสายข้างพระมารดามีศักดิ์สูง ยิ่งมีความสำคัญ และมักให้ความสำคัญเสมอ หากต้องพระราชทานแก่พระเจ้าเมืองใด ต้องมีการปรึกษาหารือกับเสนาอามาตย์เสียก่อน นับเป็นเรื่องใหญ่

๑.๒ เจ้าฟ้าชั้นโท:- เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ใช้คำนำสกุลยศ “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ, ลูกเธอ และ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ” มีพระมารดาทรงศักดิ์รองลงมาหรือพระภรรยาเจ้าชั้นรอง (พระราชเทวี, พระนางเจ้า, พระนางเธอ, พระอัครชายา, พระราชชายา) หรือ เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า, หม่อมเจ้า [ต้องรับสถาปนาอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าก่อน]) แรกประสูติของพระราชบุตรธิดา ยังไม่ได้รับ สมเด็จ เมื่อเจริญพระชันษาขึ้นหรือน้อยกว่านั้น จะได้รับ สมเด็จ หรือเรียกลำลองว่า สมเด็จ อนึ่ง เจ้าฟ้าชั้นโท ยังนับรวมเจ้านายที่ดำรงพระยศเป็น พระเชษฐา (พี่ชาย) พระภคินี (พี่สาว) พระอนุชาและพระขนิฐา (น้องชายและน้องสาว) ของกษัตริย์ที่ถือประสูติร่วมพระราชชนนี (พระราชมารดา) เดียวกันกับพระมหากษัตริย์และไม่ได้ดำรงสกุลยศเจ้าฟ้ามาก่อน

๑.๓ เจ้าฟ้าชั้นตรี:- เจ้านายชั้นอนุวงศ์ (เจ้านายชั้นอนุวงศ์สูงสุด) เป็นพระยศที่พระเจ้าแผ่นดินจะพระราชทานเป็นกรณีพิเศษและมักไม่ค่อยถือประสูติมากนักหรือไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะเป็นชั้น หลานหลวง (พระเจ้าหลานเธอ หรือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ หรือ พระวรวงศ์เธอ) โดยอาศัยการตั้งราชวงศ์ (ปฐมราชวงศ์ครั้งแรก) หรืออีกนัยหนึ่งต้องถือประสูติจากจากพระบิดาดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้า (ลูกหลวง) และพระมารดามีพระยศเป็นเจ้าฟ้าด้วยกันหรือพระมารดาดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้า (ลูกหลวง) พระบิดาเป็นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าชั้นนี้เสมอพระยศพระองค์เจ้าชั้นลูกหลวง แต่เวลาพระดำเนินตามหลังพระองค์เจ้าชั้นลูกหลวง และพระยศเจ้าฟ้าชั้นนี้เป็นเจ้านายกลุ่มชั้น อนุวงศ์มิใช่กลุ่ม พระบรมวงศ์เท่าชั้นพระองค์เจ้าลูกหลวง และเจ้าฟ้าชั้นตรีมีปรากฏในต้นแผ่นดินรัตนโกสินทร์ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๑ เท่านั้น (มีคำเรียกที่ว่า พระกำเนิดเป็นอุภโตสุชาติ = มีชาติพระกำเนิดที่ประเสริฐทั้งสองฝ่าย) เรียกลำลองว่า “เจ้าฟ้า หรือหากได้รับสมเด็จ เรียกว่า สมเด็จเจ้าฟ้า”

หมายเหตุ เจ้านายที่จะสามารถดำรงสกุลยศชั้นเจ้าฟ้าได้ต้องถือประสูติจากพระมารดามีพระยศเป็นพระองค์เจ้าในเบื้องต้น เจ้าฟ้าที่ดำรงพระยศชั้นลูกหลวงจะมีสร้อยพระนามท้ายที่ระบุว่าเป็นพระราชโอรสหรือธิดาแห่งกษัตริย์ อาทิ ราชกุมาร/กุมารี, ราชสุดา, อัครราชกุมาร/กุมารี หรือราชกัญญาเป็นต้น หากไม่มีสร้อยพระนามนี้ถือว่าเป็นเจ้าฟ้าชั้นโทและตรีที่มิใช่ลูกกษัตริย์ และจากข้อสังเกตและประวัติเจ้านายชั้นตรีหลายพระองค์ซึ่งเคยดำรงพระยศเจ้าฟ้าชั้นตรีหรือเจ้าฟ้าชั้นหลานหลวง จะสืบสายข้างพระมารดาที่มีพระยศเป็นเจ้าฟ้าเป็นปฐม อีกนัยจะกล่าวว่า เจ้าฟ้าชั้นตรี เป็นเจ้าฟ้าตามศักดิ์แห่งพระมารดาแม้ทรงมีพระบิดาชั้นพระองค์เจ้าก็ตาม (พระมารดาเป็นเจ้าฟ้าบิดาเป็นพระองค์เจ้า) ซึ่งบางครั้งอาจสงสัยว่าแล้วเมื่อมีพระบิดาเป็นเจ้าฟ้าชั้นเอก พระมารดาเป็นพระองค์เจ้า เหตุใด จึงเป็นเพียงพระองค์เจ้าชั้นโท นั้นยิ่งแสดงได้ชัดเจนว่า เจ้าฟ้าชั้นตรีเป็นสกุลยศผู้จะสืบยศเจ้าฟ้าข้างพระมารดาเป็นเกณฑ์

๒. พระองค์เจ้า มีความแตกต่างกัน ๓ ชั้น คือ

๒.๑ พระองค์เจ้าชั้นเอก:- เจ้านายชั้น พระบรมวงศ์ เป็นพระราชบุตรหรือพระราชธิดาอันเกิดด้วยพระสนม (เจ้าจอมมารดา) ตรงกับที่เรียกในกฎมณเทียรบาลว่า “พระเยาวราช” ใช้คำนำสกุลยศหรืออิสริยยศว่า “พระเจ้าลูกยาเธอ, พระเจ้าลูกเธอ, พระบรมวงศ์เธอ ไม่มีคำว่า สมเด็จ นำพระอิสริยยศ ยกเว้นทรงได้รับพระราชทานอิสริยยศเพิ่มเป็น สมเด็จกรมพระยา” เรียกลำลองว่า สเด็จ และ สมเด็จกรมพระยาฯ

อนึ่ง เจ้านายฝ่ายในชั้นนี้ หากพระมหากษัตริย์รับสนองเป็นภรรยาเจ้า พระราชโอรสธิดาที่ถือประสูติมาเป็นเจ้าฟ้าชั้นเอกทั้งสิ้นเพราะพระมารดาเป็นชั้นลูกหลวงหรือพระบรมวงศ์

๒.๒ พระองค์เจ้าชั้นโท:- เจ้านายชั้น อนุวงศ์ เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระบิดาเป็นเจ้าฟ้าและพระมารดาเป็นเจ้า (ที่มีศักดิ์พระอัครชายาของเจ้าฟ้าเสมอเป็นเจ้าเป็นพิเศษ อาทิ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าฯ พระวรชายาฯ) หรือเป็นพระโอรสหรือพระธิดาของพระมหาอุปราชใช้คำนำสกุลยศ “พระเจ้าวรวงศ์เธอ, พระเจ้าหลานเธอ” หรือพระยศที่พระมหากษัตริย์สถาปนาขึ้นเป็นพิเศษ เรียกลำลองว่า พระองค์ ยกเว้นในกรณีที่ดำรงพระยศเป็นพระองค์เจ้าชั้นพิเศษที่มีศักดิ์ด้วยเป็นอัครชายาในสมเด็จเจ้าฟ้ามหาอุปราช เรียกลำลองเพิ่มเป็น เสด็จพระองค์หญิง เป็นกาลพิเศษ

อนึ่ง ยังมีกรณีพระโอรสธิดาที่มีพระบิดาเป็นเจ้าฟ้า พระมารดาเป็นสามัญชน ก็ดำรงสกุลยศนี้ได้ แต่พระมารดาต้องเสกสมรสเป็นหม่อมห้ามสะใภ้หลวง เป็นการสถาปนากรณีพิเศษให้พระราชอนุชาที่ร่วมพระครรโภทรในรัชกาลที่ ๕ เท่านั้น และทรงประกาศให้พระโอรสธิดาของพระองค์เจ้าชั้นนี้เป็นหม่อมเจ้าอีกด้วย

๒.๓ พระองค์เจ้าชั้นตรี:- เจ้านายชั้น อนุวงศ์ เป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์ซึ่งพระบิดาและพระมารดาเป็นพระองค์เจ้าด้วยกัน หรือพระบิดาเป็นเจ้าฟ้าชั้นเอกแต่พระมารดามิได้เป็นเจ้า (หม่อม) ใช้คำนำสกุลยศ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ซึ่งแตกต่างจากชั้นโทที่ใช้อิสริยยศ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ปัจจุบันใช้ พระเจ้าหลานเธอด้วย เพราะความหมายจะหมายถึงพระราชนัดดากษัตริย์โดยตรง แต่จะซ้ำกับชั้นโท อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาตามประกาศเป็นเกณฑ์ เรียกลำลองว่า พระองค์เหมือนกัน แต่หากเป็นพระองค์เจ้าตั้ง (กลุ่มเจ้านายที่ถือสกุลยศเดิมชั้นหม่อมเจ้ามาก่อน) เรียกลำลองว่า ท่านพระองค์ (พระองค์เจ้าชั้นนี้เทียบเสมอสกุลยศหม่อมเจ้าเพราะพระโอรสธิดามีสกุลยศหม่อมราชวงศ์)

อนึ่งกล่าวเพิ่มเติม พระองค์เจ้าในชั้นนี้มีอย่างทางการและบรรทัดฐานในสกุลยศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่ ๗) พระองค์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตรากฎหมายในเรื่องการสืบสันดรว่าด้วย พระโอรสธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นลูกหลวงประสูติแด่หม่อมห้าม (หญิงสามัญชน) โดยหม่อมเป็นที่ยอมรับ เนื่องด้วยสมัยรัชกาลก่อน ๆ หากพระมารดาเป็นเพียงสามัญชน (หม่อม) พระโอรสธิดาจะดำรงสกุลยศเพียงหม่อมเจ้าเท่านั้น และการตรากฎหมายขึ้นนี้ยังผลให้เจ้านายในชั้นหม่อมเจ้าสมัยนั้นทรงได้รับการสถาปนาและถือประสูติเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทุกพระองค์

๓. หม่อมเจ้า:- 
เจ้านายชั้น อนุวงศ์ เป็นพระโอรสและพระธิดาของเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้าโดยสกุลยศ (เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา แม้ว่าจะเป็นพระโอรสหรือพระธิดาของพระมหาอุปราชแต่มารดามิได้เป็นเจ้า (หม่อม) จะเป็นเพียงแค่หม่อมเจ้า (นับได้ว่าเป็นพระยศชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสุดท้ายที่ต้องใช้คำราชาศัพท์)
อนึ่ง เนื่องด้วยมีการตรากฎหมายเรื่องการสืบสันดรสกุลยศ ในรัชกาลที่ ๗ แห่งพระราชวงศ์จักรีว่าด้วย พระโอรสธิดาเพิ่มเติม ทำให้หม่อมเจ้าที่มีพระบิดาดำรงสกุลยศเจ้าฟ้า ก็จะได้สกุลยศเป็นพระองค์เจ้าชั้นตรีในแรกประสูติ หรือสถาปนา ดังนั้นความหมาย พระบรมวงศานุวงศ์ มาจากสองคำ คือ พระบรมวงศ์ (พระภรรยาเจ้าดำรงสถานะชั้นพระมเหสี, เจ้าฟ้าชั้นเอก-โท และพระองค์เจ้าชั้นเอก) กับ พระอนุวงศ์ (เจ้าฟ้าชั้นตรี, พระองค์เจ้าชั้นโท-ตรี และ หม่อมเจ้า) ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้านาย (เจ้า) ที่ต้องใช้คำราชาศัพท์

๔. หม่อมราชวงศ์:-
ชั้น เชื้อพระวงศ์ เป็นโอรสและธิดาของพระองค์เจ้าตั้ง และโอรสธิดาของหม่อมเจ้า เรียกว่า คุณชาย’, ‘คุณหญิง เป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ (ราชนิกุล) มิใช่เจ้า

๕.หม่อมหลวง:- 
ชั้น เชื้อพระวงศ์ เป็นบุตรและธิดาของหม่อมราชวงศ์ เรียกว่า คุณเป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ (ราชนิกุล) มิใช่เจ้า

ขุนหลวง:- เป็นคำที่ราษฎรทั่วไปขานพระเจ้าแผ่นดิน เนื่องด้วยการขานพระนามกันตรง ๆ มักไม่นิยม และมีความยาว พร้อมกับมีศัพท์ที่ไม่ใช้กันข้างนอก บ้างสันนิษฐานว่าเป็นคำลำลอง เหมือนที่เรียกขานปัจจุบันว่า ในหลวง เพราะ คำว่า ขุนหลวง มีใช้เฉพาะปลายกรุงศรีฯ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพระราชวงศ์บ้านพลูหลวง นิยมขานพระมหากษัตริย์ว่าขุนหลวงและตามด้วยพฤติกรรมหรืออุปนิสัยพระองค์นั้น ๆ อาทิ ขุนหลวงหาวัด พระเจ้าอุทุมพร เพราะผนวช, ขุนหลวงมะเดื่อ หรือขุนหลวงสรศักดิ์ พระนามเดิมและพระยศเดิมก่อนเป็นกษัตริย์ หลวงสรศักดิ์ เป็นต้น ดังนั้น คำว่า ขุนหลวง มิใช่พระยศอย่างที่เข้าใจ พอเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์ ขุนหลวงมิมีผู้ใดขานอีก จึงออกพระนามกันใหม่ อาทิ ขุนหลวงเสือ เป็นพระเจ้าเสือ

เพิ่มเติม เจ้านายพระองค์ใดเป็นชั้นลูกหลวง เมื่อพ้นรัชกาลแผ่นดินไปแล้ว จะมีคำนำก่อนอิสริยยศเป็นขั้นปฐม ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ (สำหรับเจ้าฟ้า) และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ (สำหรับพระองค์เจ้า) ยกเว้น พระราชกรุณาโปรดเกล้าเป็นอย่างอื่นที่สูงกว่าหรือเกี่ยวข้องกับพระองค์โดยตรง อาทิ สมเด็จพระราชอนุชาฯ และสำหรับบางรัชกาล คำนำสกุลยศ ยังมี พระราชวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อันเป็นเจ้านายชั้นสูงที่เทียบกับพระบรมวงศ์เธอ แต่มิใช่เจ้านายในวังหลวงแต่เป็นเจ้านายในวังชั้นสูง อาทิ วังหน้า, วังหลัง เป็นต้น

อิสริยยศ
อิสริยยศ คือ ยศที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาเจ้านายให้มีศักดิ์สูงขึ้น อิสริยยศชั้นสูงสุด คือ พระราชกุมารที่จะรับราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์สืบต่อไป โดยในกฎมณเฑียรบาลซึ่งตั้งในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๑ บัญญัติไว้ว่า “พระราชกุมารอันเกิดด้วยพระอัครมเหสี (มียศ) เป็นสมเด็จหน่อพุทธเจ้า พระราชกุมารอันเกิดแต่พระแม่หยั่วเมืองเป็นพระมหาอุปราช” และอิสริยยศยังรวมถึงพระยศที่ได้มาหลังจากประสูติด้วย.

อิสริยยศสำหรับราชตระกูลรองแต่ พระมหาอุปราช ลงมา พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาให้มีพระนามขึ้นต้นด้วยคำว่า พระ ซึ่งสันนิษฐานว่าจะนำแบบของขอมมาอนุโลมใช้เป็นราชประเพณีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เช่น พระราเมศวร, พระนเรศวร, พระมหินทร์, พระเอกาทศรถ, พระอาทิตยวงศ์, พระศรีศีลป์ เป็นต้น

ประเพณีเรียกพระนามเจ้านายเป็นกรมต่าง ๆ อย่างในทุกวันนี้ ปรากฏขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งแต่ทรงสถาปนาพระน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุพรรณเป็นเจ้ากรมหลวงโยธาทิพ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงสุดาวดีเป็นเจ้ากรมหลวงโยธาเทพ นับเป็นครั้งแรกที่เรียกพระนามอิสริยยศเจ้านายตามกรมใช้เป็นแบบแผนนับแต่นั้นมา สาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงการสถาปนาอิสริยยศเจ้านายขึ้นเป็น พระ ตามประเพณีเดิมนั้น เนื่องจากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ทรงเป็นอริกับเจ้าฟ้าชายหลายพระองค์ที่มีมาตั้งแต่ยุคสมเด็จพระเจ้าประสาททอง จึงมิได้ทรงยกย่องเจ้าฟ้าผู้ใดให้มียศสูงขึ้นตลอดรัชกาล จากจดหมายเหตุของมองสิเออร์ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส กล่าวว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงยกย่องพระราชธิดาให้มีข้าคนบริวารและมีเมืองส่วยขึ้นเท่ากับพระอัครมเหสี ดังนั้น การสถาปนาเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์นี้ ในแต่เดิม ไม่ได้เป็นการสถาปนาพระอิสริยยศ แต่เป็นการรวบรวมกำลังคนในระบบไพร่ ตั้งกรมใหม่ขึ้นสองกรม คือ กรมที่มีหลวงโยธาทิพและหลวงโยธาเทพ เป็นเจ้ากรม และโปรดให้ไปขึ้นกับเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์นั้น และคนไทยโบราณ ไม่นิยมเรียกชื่อเจ้านายตรง ๆ จึงเรียกเป็นกรมหลวงโยธาทิพหรือกรมหลวงโยธาเทพ เป็นต้น การทรงกรมจึงเทียบได้กับการกินเมือง (การกินเมือง คือ การมีเมืองส่วยขึ้นในพระองค์เจ้านาย ประชาชนในอาณาเขตของเมืองนั้น ๆ ต้องส่งส่วยแก่เจ้านาย) ในสมัยโบราณ คือ แทนที่จะส่งเจ้านายไปปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ก็ทรงให้อยู่ในพระนครและให้มีกรมขึ้นเพื่อเป็นรายได้ของเจ้านายนั้น ๆ

พระอิสริยศในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี มี ๔ ชั้น

ชั้นที่ ๑ กรมพระ เป็นอิสริยยศสำหรับ พระพันปีหลวง (พระราชมารดา) พระมหาอุปราชและวังหลัง
ชั้นที่ ๒ กรมหลวง เป็นอิสริยยศสำหรับ พระมเหสี โดยมากกรมหลวงมักมีแต่เจ้านายฝ่ายในที่ดำรงพระยศนี้เป็นที่สุด
ชั้นที่ ๓ กรมขุน เป็นอิสริยยศสำหรับ เจ้าฟ้าราชกุมาร
ชั้นที่ ๔ กรมหมื่น เป็นอิสริยยศสำหรับ พระองค์เจ้า

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีการเลื่อนชั้นอิสริยยศเจ้านายจากที่ได้รับแต่เดิมแต่ประการใด (ยกเว้นการเลื่อนกรมพระราชมารดา หรือผู้ที่ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชขึ้นเป็น กรมพระ) ประเพณี การเลื่อนอิสริยยศเจ้านายเกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชการที่ ๒ ให้เรียก กรมของสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า กรมสมเด็จพระ ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ โปรดให้ พระองค์เจ้าทรงกรมชั้นผู้ใหญ่เลื่อนขึ้นไปได้เป็น กรมสมเด็จพระ สูงกว่า กรมพระ เดิม และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้แก้ไข กรมสมเด็จพระ เป็น กรมพระยา ดังนั้น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อิสริยยศเจ้านายจึงมี ๕ ชั้น คือ

ชั้นที่ ๑ กรมพระยา หรือ กรมสมเด็จพระ (ในรัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ใช้ว่า สมเด็จพระ แทน กรมสมเด็จพระ สำหรับเจ้านายฝ่ายใน-ผู้หญิง)
ชั้นที่ ๒ กรมพระ นอกจากเป็นกรมสำหรับพระราชมารดา วังหน้าและวังหลังแล้ว รัชกาลที่ ๑ ยังตั้งสมเด็จพระพี่นางเธอให้ดำรงพระอิสริยยศนี้
ชั้นที่ ๓ กรมหลวง สำหรับเจ้าฟ้าชั้นใหญ่ และทั้งพระองค์ชายและพระองค์หญิง
ชั้นที่ ๔ กรมขุน สำหรับเจ้าฟ้าชั้นเล็ก แล้วจึงเลื่อนเป็นกรมหลวง
ชั้นที่ ๕ กรมหมื่น สำหรับพระองค์เจ้า

เจ้าทรงกรม จะมีขุนนางเป็น เจ้ากรม, ปลัดกรม และสมุห์บัญชี โดยบรรดาศักดิ์ของเจ้ากรม คือบรรดาศักดิ์สูงสุดของอิสริยยศนั้น เช่น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มี เจ้ากรม บรรดาศักดิ์เป็น พระยาดำรงราชานุภาพ ศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่ ปลัดกรม คือ พระปราบบรพล ศักดินา ๘๐๐ ไร่ สมุห์บัญชี คือ หลวงสกลคณารักษ์ ศักดินา ๕๐๐ ไร่

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังจากทรงยกเลิกระบบไพร่แล้ว การ ทรงกรม ของเจ้านาย จึงเป็นเพียงแต่การให้พระเกียรติยศแก่เจ้านายพระองค์นั้น แต่ไม่มีไพร่สังกัดกรมแต่อย่างใด ส่วนพระนามของเจ้านายที่ทรงกรมได้แบบธรรมเนียมมาจากยุโรป โดยทรงตั้งพระนามเจ้านายที่ทรงกรมตามชื่อเมืองต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หรือ สมเด็จเจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ เป็นต้น

เจ้านายที่ทรงกรมพระองค์ล่าสุด คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ในการบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองพระชนมายุ ๖ รอบ (๗๒ พรรษา) แต่ไม่มีประเพณี เจ้ากรม ปลัดกรม ตามโบราณ เนื่องจากไทยได้ยกเลิกระบบไพร่ซึ่งสังกัดกรมเจ้านายไปแล้วในรัชกาลที่ ๕ และเลิกบรรดาศักดิ์ของขุนนางไปแล้วในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

๒ “ถึงแก่พิราลัย” สำหรับเจ้าประเทศราช

พจนานุกรมฯ ให้ความหมายคำว่า “พิราลัย”[14] หมายถึง ตาย เดิมใช้แก่เจ้าประเทศราช สมเด็จเจ้าพระยา ภายหลังใช้แก่ผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นการเฉพาะราย, ใช้ว่า ถึงแก่พิราลัย
ประเทศราช[15] หรือรัฐบรรณาการ หมายถึง รัฐที่มีประมุขเป็นของตนเอง แต่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมดูแลและคุ้มครองของพระมหากษัตริย์อีกรัฐหนึ่ง เจ้าผู้ครองนครประเทศราชหรือสามนตราช มีหน้าที่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการถวายเป็นประจำ และในยามศึกสงครามต้องส่งกองกำลังเข้าช่วยกองทัพหลวงด้วย มีลักษณะคล้ายรัฐในอารักขาของจักรวรรดินิยมตะวันตก

ประเทศราชของสยาม แบ่งออกเป็น ๓ ชั้น ตามบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมือง ได้แก่
๑ พระเจ้าประเทศราช เช่น พระเจ้าดวงทิพย์ ผู้ครองนครลำปาง
๒ เจ้าพระยาประเทศราช เช่น เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช
๓ พระยาประเทศราช เช่น พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) ผู้ครองนครเชียงใหม่

ในราชอาณาจักรสยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้ตรา “พระราชบัญญัติศักดินาเจ้านายพระยาท้าวแสนเมืองประเทศราช” ดังนี้
พระเจ้าประเทศราช ถือศักดินา ๑๕,๐๐๐ ไร่ เทียบเท่า เจ้าต่างกรมเจ้าประเทศราช ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ ไร่ เทียบเท่า ข้าหลวงเทศาภิบาลพระยาประเทศราช ถือศักดินา ๘,๐๐๐ ไร่ เทียบเท่า เจ้าพระยาวังหน้า

๓ “ถึงแก่มรณภาพ” สำหรับพระสงฆ์มีบรรดาศักดิ์

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ ให้ความหมายคำว่า ถึงมรณภาพ[16] หมายถึง ตายใช้แก่พระภิกษุสามเณร หรือนักบวชในลัทธิศาสนาอื่น, มรณภาพ ก็ว่า, ใช้เต็มว่า ถึงแก่มรณภาพ.

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๑ บัญญัติว่า “สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) มรณภาพ”
มาตรา ๒๐ ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองสงฆ์”
มาตรา ๒๒ บัญญัติว่า “การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ให้มีพระภิกษุเป็นผู้ปกครองตามชั้น ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ (๑) เจ้าคณะภาค (๒) เจ้าคณะจังหวัด (๓) เจ้าคณะอำเภอ (๔) เจ้าคณะตำบล เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นสมควรจะจัดให้มีรองเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะอำเภอ และรองเจ้าคณะตำบล เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะนั้น ๆ ก็ได้”
มาตรา ๓๖ บัญญัติว่า “วัดหนึ่งให้มีเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง และถ้าเป็นการสมควรจะให้มีรองเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วยก็ได้”

สมณศักดิ์[17] ระบบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เริ่มใช้มาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย พระองค์ได้โปรดให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชมาจากประเทศลังกาเพื่อให้ประกาศพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในกรุงสุโขทัย พระมหาสามีสังฆราชคงจะได้ถวายพระพรให้พระมหาธรรมราชาลิไททรงตั้งสมณศักดิ์ถวายแด่พระสงฆ์ตามราชประเพณีที่ถือปฏิบัติในประเทศลังกา ระบบสมณศักดิ์ในสมัยสุโขทัยไม่สลับซับซ้อนเพราะมีเพียง ๒ ระดับชั้นเท่านั้น คือ พระสังฆราชและพระครู ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาระบบสมณศักดิ์ได้รับการปรับให้มีระดับชั้นเพิ่มขึ้นเป็น ๓ ระดับ คือ สมเด็จพระสังฆราช พระสังฆราชคณะหรือพระราชาคณะ และพระครู

ทำเนียบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์แห่งราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน
๑ สมเด็จพระสังฆราช
๒ สมเด็จพระราชาคณะ
๓ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง
๔ พระราชาคณะชั้นธรรม
๕ พระราชาคณะชั้นเทพ
๖ พระราชาคณะชั้นราช
๗ พระราชาคณะชั้นสามัญ
๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี-โท-เอก-พิเศษ
๙ พระครูฐานานุกรม
๑๐ พระครูประทวนสมณศักดิ์
๑๑ พระเปรียญ ป.ธ.๙ - ป.ธ.๘ - ป.ธ.๗ - ป.ธ.๖ - ป.ธ.๕ - ป.ธ.๔ - ป.ธ.๓

“สมเด็จพระสังฆราช”[18] คือ ประมุขแห่งคณะสงฆ์ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทยทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก
“สมเด็จพระราชาคณะ”[19] หรือ สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฎ เป็นสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ รองจากสมเด็จพระสังฆราช สูงกว่าพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีคำนำหน้าราชทินนามว่า สมเด็จ เดิมทีสมเด็จพระราชาคณะเป็นตำแหน่งพระสังฆาธิการชั้นเจ้าคณะใหญ่มาตลอด กระทั่งมีการแยกออกมาเมื่อมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ปัจจุบัน สมเด็จพระราชาคณะดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เพียง ๕ รูป และสมเด็จพระราชาคณะทุกรูป ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะมีทั้งหมด ๘ รูป (ไม่รวมสมเด็จพระสังฆราช) แบ่งเป็นมหานิกาย ๔ รูป และธรรมยุติกนิกาย ๔ รูป
“พระราชาคณะเจ้าคณะรอง”[20] เป็นสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ มีศักดิ์รองลงมาจากสมเด็จพระราชาคณะ เดิมจึงเรียกว่ารองสมเด็จพระราชาคณะ ปัจจุบันมีจำนวน ๒๑ รูป แบ่งเป็นมหานิกาย ๑๕ รูป และธรรมยุติกนิกาย ๖ รูป
“พระราชาคณะชั้นธรรม”[21] เป็นสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ มีศักดิ์รองลงมาจากพระราชาคณะเจ้าคณะรอง
“พระครูสัญญาบัตร”[22]
พระครูสัญญาบัตรจัดเป็นสมณศักดิ์สัญญาบัตรชั้นแรก เป็นพระครูมีราชทินนาม ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัยเรียกว่า ปู่ครู ต่อมาในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ได้เปลี่ยนคำนำหน้าจากปู่ครูเป็นพระครู และโปรดให้มีราชทินนามสืบมาจนถึงปัจจุบัน พระครูสัญญาบัตรเป็นชื่อประเภทสมณศักดิ์ เครื่องหมายสมณศักดิ์ใช้คำว่าพระครูนำหน้าราชทินนาม แต่ในสัญญาบัตรมิได้กำหนดว่าเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นใดหรือตำแหน่งใด จะมีพัดยศเป็นเครื่องแสดงชั้นหรือตำแหน่งนั้น ๆ เมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง จะไม่เปลี่ยนสัญญาบัตร คงเปลี่ยนเฉพาะพัดยศ และมีประกาศมหาเถรสมาคมแสดงความเป็นพระครูสัญญาบัตรตำแหน่งใดและชั้นใด ในปัจจุบันผู้ที่จะได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรต้องเป็นพระสังฆาธิการเท่านั้น เมื่อจะทรงแต่งตั้งครั้งแรกจัดชั้นและตำแหน่งให้เหมาะสมในการปกครอง หรือเหมาะสมกับวิทยฐานะ

พระครูสัญญาบัตรจัดโดยชั้นมี ๔ ชั้น คือ ๑. ชั้นพิเศษ ๒. ชั้นเอก ๓. ชั้นโท ๔. ชั้นตรี

“ประทวนสมณศักดิ์”[23] เป็นสมณศักดิ์ประเภทหนึ่งในระดับชั้นประทวน เรียกผู้ที่ได้รับสมณศักดิ์ประเภทนี้ว่า พระครูประทวน สมณศักดิ์ชั้นนี้ไม่มีราชทินนาม กล่าวคือเป็นพระครูในนามเดิม
“พระมหา”[24] เป็นคำสมณศักดิ์ใช้นำหน้าชื่อพระภิกษุที่สอบไล่ได้ตั้งแต่เปรียญธรรม ๓ ประโยค ขึ้นไป โดยคำ มหา มาจากศัพท์ในภาษาบาลี (มหนฺต ลดรูปเป็น มหา)

ในปัจจุบัน พัดยศมหาเปรียญนั้นจะแบ่งเป็นสีและระบุเลขลำดับชั้นเปรียญ ซึ่งเปรียบได้กับครุยวิทยฐานะของบัณฑิตผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย โดยพัดยศเปรียญมีฐานะเสมือนหนึ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ผู้ทำความชอบในราชการ พระสงฆ์สามเณรผู้ได้รับพระราชทานจะนำพัดยศมหาเปรียญออกใช้ประกอบสมณศักดิ์ได้แต่ในงานพระราชพิธีสำคัญเท่านั้น จะใช้ทั่วไปมิได้

ในอดีตก่อนมีการเลิกทาส หากพระภิกษุหรือสามเณรรูปใดที่สอบไล่ได้เปรียญธรรม มีบิดามารดาเป็นทาสเขาอยู่ จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไถ่ให้พ้นตัวจากความเป็นทาสมีอิสรภาพแก่ตนในทันทีที่บุตรชายของตนได้เป็นพระมหาเปรียญหรือสามเณรเปรียญ

ปัจจุบันเรียกพระภิกษุที่สอบได้พระปริยัติธรรมตั้งแต่ เปรียญธรรม ๓ ประโยคขึ้นไปว่า "พระมหาเปรียญ"

๔ ถึงอนิจกรรม สำหรับขุนนางเจ้าพระยานา ๑๐๐๐๐
ถึงแก่อนิจกรรม[25] หมายถึง ตาย ใช้แก่พระยาพานทองหรือเทียบเท่า;
พระยาพานทอง[26] คือ ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยา และได้รับพระราชทานพานทองเป็นเครื่องสำหรับยศ, ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลจุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าขึ้นไป มีบรรดาศักดิ์เสมอตำแหน่งที่ได้รับพานทอง.
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า[27]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (The Most Illustrious Order of Chula Chom Klao) สถาปนาขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ ด้วยทรงเห็นว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทรงอยู่ในราชสมบัติยั่งยืนนานมาเป็นเวลา ๙๐ ปี ก็ด้วยความจงรักภักดีและการปฏิบัติราชการของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งปวง ทั้งมีพระราชประสงค์จะทรงชุบเลี้ยงบรรดาทายาทของบุคคลเหล่านี้ ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในราชการสืบเนื่องต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทายาทของผู้ได้รับพระราชทานสามารถรับพระราชทานตราสืบตระกูลของบิดาได้ โดยพระราชทานนามพระองค์ จุลจอมเกล้า เป็นนามของเครื่องราชอิสรยาภรณ์ตระกูลนี้ พร้อมทรงคิดคำขวัญจารึกบนดวงตราว่า เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ

เมื่อแรกสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า นั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น ๓ ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ ๑ ปฐมจุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๒ ทุติยจุลจอมเกล้า (ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ, ทุติยจุลจอมเกล้า) และชั้นที่ ๓ ตติยาจุลจอมเกล้า (ตติยจุลจอมเกล้า, ตติยานุจุลจอมเกล้า) ซึ่งจะพระราชทานให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ฝ่ายหน้าเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ พระองค์มีพระราชดำริเห็นสมควรเพิ่มชั้นพิเศษสำหรับชั้นที่ ๑ ปฐมจุลจอมเกล้าอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เป็นเกียรติยศและประโยชน์แก่ผู้รับราชการยิ่งขึ้น เรียกว่า ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นที่ 3 ขึ้นเป็นพิเศษ เรียกว่า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการ ฝ่ายหน้าเพิ่มขึ้นอีกชั้น

สำหรับ ฝ่ายในนั้น ทรงสร้างกล่องหมากและหีบหมากเป็นเครื่องยศสำหรับพระราชทานฝ่ายในทำนองเดียวกันกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสำหรับพระราชทานฝ่ายหน้า ไม่จำกัดจำนวน แต่มิได้พระราชทานโดยทางสืบสกุล สามารถแบ่งเป็น ๓ ชั้น ๔ ชนิด มีลักษณะดังนี้

ชั้นที่ ๑ กล่องปฐมจุลจอมเกล้า เป็นกล่องหมากทำด้วยเงินกาไหล่ทอง (กะไหล่:- เป็นกรรมวิธีเคลือบสิ่งที่เป็นโลหะด้วยเงินหรือทองเป็นต้น โดยใช้ปรอทละลายเงินหรือทองให้เป็นของเหลว แล้วทาลงบนโลหะที่ต้องการเคลือบ จากนั้นไล่ปรอทออกโดยใช้ความร้อน, กาไหล่ ก็ว่า) จำหลักเป็นลายชัยพฤกษ์พื้นลงยาสีขาบ (สีกรมท่า, น้ำเงินแก่; ภาษาอังกฤษว่า dark blue colour) ฝากล่องมีดวงดาราปฐมจุลจอมเกล้าอยู่กลาง มีขอบนอกเป็นอักษรว่า การพระราชพิธีบรมราชภิเษก ปีระกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕ มีตลับข้างใน ๔ ใบจัดเป็นครึ่งซีกตามรูปกล่อง

ชั้นที่ ๒ กล่องทุติยจุลจอมเกล้า มีลักษณะเช่นเดียวกับชั้นที่ ๑ แต่กลางฝากล่องเป็นดวงดาราวิเศษของตราทุติยจุลจอมเกล้า และมีตลับด้านในเพิ่มเป็นส่วนพิเศษบ้าง

ชั้นที่ ๓ ชนิดที่ ๑ หีบตติยจุลจอมเกล้า เป็นหีบหมากเงินกาไหล่ทองจำหลักเป็นลายชัยพฤกษ์พื้นลงยาสีขาบ ฝาหีบมีอักษรย่อเช่นเดียวกับชั้นที่ ๑ ตรงกลางมีรูปดวงตราตติยจุลจอมเกล้าแต่ตรงพระบรมรูปจำหลักเป็นอักษรพระนาม จจจ (จุฬาลงกรณ์จุลจอมเกล้า) ไขว้กันแทน
ชั้นที่ ๓ ชนิดที่ ๒ เป็นหีบหมากเช่นเดียวกับชั้นที่ ๓ แต่เป็นเงินล้วน ไม่ได้ลงยากาไหล่ทอง

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงพระราชดำริว่าสมควรที่จะทรงสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายในขึ้น เพื่อให้สมาชิกผู้ได้รับพระราชทานได้ประดับตนเป็นที่แสดงเกียรติยศเพิ่มขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ๔ ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ ๑ ปฐมจุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๒ ทุติยจุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๓ ตติยจุลจอมเกล้า และชั้นที่ ๔ จตุตถจุลจอมเกล้า และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงพระราชดำริให้เพิ่มเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสำหรับฝ่ายในในชั้นที่ ๒ ขึ้นอีก ๑ ชนิด เรียกว่า ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เพื่อให้มีจำนวนชนิด ๕ ชนิด (ในขณะนั้น) เช่นเดียวกับสำหรับพระราชทานฝ่ายหน้า

กฎหมายได้บัญญัติจำแนกเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทฝ่ายหน้าสำหรับบุรุษ และประเภทฝ่ายในสำหรับสตรี คำว่าฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เรียกตามตำแหน่งที่เคยจัดให้เฝ้าแต่สมัยโบราณ ทั้งยังได้กำหนดจำนวนเครื่องราชฯ ในตระกูลนี้ในแต่ละชั้นตราไว้เป็นการแน่นอน หากชั้นตราใดมีผู้ได้รับพระราชทานเต็มตามจำนวนแล้ว ก็จะไม่พระราชทานชั้นตรานั้นแก่ผู้อื่นอีก ชั้นตราจะว่างก็ต่อเมื่อผู้ได้รับพระราชทานอยู่เดิมสิ้นชีวิตหรือได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นตราสูงขึ้น โดยญาติผู้เสียชีวิตหรือผู้ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นตราสูงขึ้น ต้องมีหน้าที่ส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้าที่ได้รับพระราชทานหรือชั้นรองตามกฎหมายแก่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

การใช้คำนำหน้าสตรีในอดีตนั้นมีการระบุเกี่ยวพันกับบรรดาศักดิ์ของสามีที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าในปัจจุบันรัฐบาลจะไม่มีนโยบายขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ข้าราชการแล้ว แต่คำนำหน้าสตรีสำหรับผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ก็ยังสมควรได้รับคำยกย่องอยู่ เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อเป็นการเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้น จึงสมควรยกย่องสตรีผู้ได้รับเกียรติจากองค์พระมหากษัตริย์ด้วย โดยอนุโลมไม่ต้องยึดถือบรรดาศักดิ์ของสามีเป็นเกณฑ์

สำหรับคำนำหน้าสตรีที่สมรสแล้วและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ปฐมจุลจอมเกล้าและทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ให้ใช้คำว่า ท่านผู้หญิง ยกเว้น สตรีในราชสกุลตั้งแต่ หม่อมเจ้าขึ้นไปให้ใช้คำนำพระนามตามเดิม

ส่วนสตรีที่สมรสแล้วและรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้า และจตุตถจุลจอมเกล้าใช้คำนำหน้าว่า คุณหญิง ยกเว้น สตรีในราชสกุลตั้งแต่ หม่อมหลวงขึ้นไปให้ใช้คำนำนามตามเดิม

ส่วนสตรีที่ยังไม่ได้สมรสและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (ฝ่ายใน) ตั้งแต่ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าขึ้นไป ให้ใช้คำนำนามว่า คุณ

๕ ถึงอสัญกรรม สำหรับขุนนางเป็นพระยา

๖ ถึงแก่กรรม สำหรับ พระ หลวง ลงไปจนมหาดเล็กหลวง แลจางวาง นายเวร ปลัดเวร ของเจ้าต่างกรมแลยังมิได้ตั้งกรม แลพระสงฆ์สามเณรสามัญ แลกงสุลแลผู้ช่วยราชการกงสุลต่างประเทศบาดแลหลวงญวน

ข้อพิจารณาในประเด็น ๔-๖ นี้ ว่าจะใช้คำตายเช่นไร ต้องพิจารณาบรรดาศักดิ์ข้าราชการว่าแบ่งออกเป็นกี่ชั้น ในชั้นแรกพิจารณาจากข้าราชพลเรือนเสียชั้นหนึ่งก่อน วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของข้าราชการพลเรือน[28]ไว้ว่า
ก่อนจะมีการจัดระบบการบริหารราชการและระบบข้าราชการในประเทศไทย ได้กำหนดให้ข้าราชการมี “บรรดาศักดิ์” มีลักษณะเป็นเป็น “ชั้นยศ (Rank)” โดยแบ่งออกเป็น ๙ ชั้น คือ
๑ บรรดาศักดิ์ชั้น “นาย”
๒ บรรดาศักดิ์ชั้น “พัน”
๓ บรรดาศักดิ์ชั้น “หมื่น”
๔ บรรดาศักดิ์ชั้น “ขุน” (เป็นข้าราชการสัญญาบัตร)
๕ บรรดาศักดิ์ชั้น “หลวง”
๖ บรรดาศักดิ์ชั้น “พระ”
๗ บรรดาศักดิ์ชั้น “พระยา”
๘ บรรดาศักดิ์ชั้น “เจ้าพระยา”
๙ บรรดาศักดิ์ชั้น “สมเด็จเจ้าพระยา” บรรดาศักดิ์ในชั้นนี้ ต้องยกเป็นตำแหน่งพิเศษออกไป เพราะพระราชทานพิเศษเฉพาะตัวจำนวนไม่มาก
การวางระเบียบข้าราชการพลเรือน เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกสรรผู้มีความรู้และความสามารถเข้ารับราชการ กำหนดให้มีข้าราชการ ๓ ประเภท คือ

๑ ข้าราชการพลเรือนสามัญ คือ ข้าราชการที่รัฐบาลบรรจุแต่งตั้งไว้ตามระเบียบฯ แบ่งออกเป็น ๒ ชั้น คือ
๑.๑ ชั้นสัญญาบัตร (รองอำมาตย์ตรีขึ้นไป):- 
สัญญาบัตร[29] คือ ใบตั้งยศบรรดาศักดิ์ หรือสมณศักดิ์ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้ง; (สำหรับยศของทหารและตำรวจชั้นสัญญาบัตรนั้น เป็นยศที่ต้องมีพระบรมราชโองการพระราชทานยศจากพระมหากษัตริย์ ดังนั้น เมื่อส่วนราชการของทหาร-ตำรวจ ได้แต่งตั้งทหาร-ตำรวจให้มียศสัญญาบัตรใด ๆ จะมีคำว่า “ว่าที่” (Acting) ของยศนั้นนำหน้า จนกว่าจะได้นำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ให้มีพระบรมราชโองการพระราชทานยศแล้ว จึงจะไม่มีคำว่า “ว่าที่” นำหน้ายศนั้น ๆ เว้นแต่ยศทหาร-ตำรวจ ชั้นนายพล ซึ่งพระมหากษัตริย์จะมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งยศพร้อม ๆ กับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง[30])
๑.๒ ชั้นราชบุรุษ:-
ราชบุรุษ[31] แปลว่า คนของพระราชา; เป็นคำโบราณใช้เรียก ตำแหน่งราชการชั้นต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตร

๒ ข้าราชการพลเรือนวิสามัญ คือ บุคคลที่รัฐบาลจ้างไว้ให้ทำการเฉพาะอย่าง หรือระยะเวลาชั่วคราว

๓ เสมียนพนักงาน คือ ข้าราชการชั้นต่ำ ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินเดือนตามอัตราที่ตั้งไว้

การแบ่งระดับข้าราชการ
ในอดีตระบบราชการ ใช้การแบ่งระดับข้าราชการในรูปแบบของระบบศักดินา กระทั่งมีการวางระบบข้าราชการพลเรือนสามัญ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ จึงเริ่มมีการวางรูปแบบระดับข้าราชการใหม่ โดยสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ยุค คือ

ยุคที่ ๑ ยุคระบบชั้นยศ
เป็นการแบ่งระดับข้าราชการออกเป็นชั้นยศต่าง ๆ โดยข้าราชการพลเรือนสามัญจะแบ่งเป็น ๕ ชั้น คือ ชั้นจัตวา ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ ส่วนข้าราชการพลเรือนวิสามัญจะแบ่งเป็น ๒ ชั้น คือ วิสามัญประจำราชการ ชั้นจัตวา และวิสามัญกิตติมศักดิ์ ยึดระบบชั้นยศ ลำดับอาวุโส และคุณสมบัติของบุคคลเป็นหลัก (Rank in Person)

ยุคที่ ๒ ยุคมาตรฐานกลาง ๑๑ ระดับ
เป็นการกำหนดตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยการใช้ระบบจำแนกตำแหน่งตามลักษณะงาน คุณภาพและความยุ่งยากของงานแต่ละตำแหน่ง หรือที่เรียกว่าระบบ PC (Position Classification) โดยกำหนดเป็นระดับตำแหน่งเป็นมาตรฐานกลาง (Common level) ๑๑ ระดับ หรือ ซี

ยุคที่ ๓ ยุคระบบลักษณะประเภทตำแหน่ง
ในปัจจุบันข้าราชการพลเรือนสามัญ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีมาตรฐานกลางแต่ละระดับตำแหน่งแยกออกจากกัน และได้ยกเลิกมาตรฐานกลาง ๑๑ ระดับเดิมที่ไม่ได้แยกประเภทตำแหน่ง (ยกเลิก ซี) แต่ยังคงมีการกำหนดตำแหน่งตามลักษณะของงาน และความยุ่งยากซับซ้อนของงานแต่ละตำแหน่ง (ระบบจำแนกตำแหน่ง) ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้แก่
ประเภทบริหาร
ระดับสูง
ระดับต้น
ประเภทอำนวยการ
ระดับสูง
ระดับต้น
ประเภทวิชาการ
ระดับทรงคุณวุฒิ
ระดับเชี่ยวชาญ
ระดับชำนาญการพิเศษ
ระดับชำนาญการ
ระดับปฏิบัติการ
ประเภททั่วไป
ระดับทักษะพิเศษ
ระดับอาวุโส
ระดับชำนาญงาน
ระดับปฏิบัติงาน 
ทั้งนี้ บรรดาศักดิ์ของขุนนางไทย[32] มีความแตกต่างกับตะวันตกเนื่องจากระบบที่แตกต่างกัน ขุนนางตะวันตกเป็นขุนนางสืบตระกูลและไม่ใช่ข้าราชการแม้ว่าขุนนางบางคนรับราชการ แต่ขุนนางไทยเป็นข้าราชการ และตำแหน่งขุนนางผูกพันกับระบบราชการ ส่วนขุนนางตะวันตกนั้น ตำแหน่งขุนนาง ผูกพันกับการถือครองที่ดิน ที่ได้รับพระราชทานไว้แต่เดิมและส่วยสาอากรหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากที่ดินนั้น ขุนนางตะวันตก จึงมีส่วนคล้ายกับเจ้าต่างกรมของไทย ในส่วนของผลประโยชน์ในตำแหน่ง เช่น ส่วย กำลังคน เป็นต้น แต่เจ้าต่างกรมของไทยก็ไม่ได้สืบตระกูล 
กรม[33] หมายถึง หมู่เหล่าอันเป็นที่รวมกำลังไพร่พลของแผ่นดินตามลักษณะการปกครองสมัยโบราณเพื่อประโยชน์ในราชการและเวลาเกิดศึกสงคราม จะได้เรียกระดมคนได้ทันท่วงที บรรดาชายฉกรรจ์ต้องเข้าอยู่ในกรมหรือในหมู่เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เรียกว่า “สังกัดกรม” มีหัวหน้าคุมเป็น “เจ้ากรม” “ปลัดกรม” ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งให้เจ้านายปกครองเป็นองค์ ๆ เรียกว่า “ตั้งกรม” แล้ว เจ้านายพระองค์นั้นก็ “ทรงกรม” เป็น “เจ้าต่างกรม” เพราะมีกรมขึ้นต่างหากออกไปเป็นกรมหนึ่ง มีอำนาจตั้งเจ้ากรม ปลัดกรม เป็น หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา ได้ และเรียกชื่อกรมนั้น ๆ ตามบรรดาศักดิ์เจ้ากรมว่า กรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง กรมพระ และ กรมพระยา หรือ เมื่อจะทรงกรมสูงขึ้นกว่าเดิม ก็โปรดให้ “เลื่อนกรม” ขึ้น โดยเจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์เลื่อนขึ้น เช่นจากหมื่นเป็นขุน, มาในปัจจุบัน ชื่อกรมเหล่านี้มีความหมายกลายเป็นพระอิสริยยศและพระนามเจ้านายเท่านั้น.
เจ้านาย[34] หมายถึง เชื้อสายของพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป และผู้ได้รับสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็นเจ้า, เจ้า ก็เรียก.

บรรดาศักดิ์ของขุนนางไทยจึงน่าจะเป็นชั้นยศ (Rank) มากกว่าเป็นบรรดาศักดิ์ (Title) ตามหลักการสมัยใหม่ การเทียบตำแหน่งขุนนางไทยโบราณกับปัจจุบันจึงไม่ยากนัก เพราะเมื่อเป็นชั้นยศ ที่หมายถึงลำดับสูงต่ำของคนในระบบนั้น ก็เอาระดับสูงสุดกับต่ำสุดมาเทียบกัน และประมาณการเอาได้โดยไม่ยาก แต่อาจจะไม่ตรงกันโดยสมบูรณ์ แต่ก็จะทราบอย่างคร่าว ๆ เช่น

ข้าราชการระดับ ๑ เทียบ “นาย” [ปฏิบัติงาน]
ข้าราชการระดับ ๒ เทียบ “พัน” หรือ “หมื่น”[ปฏิบัติงาน]
ข้าราชการระดับ ๓, ๔ เทียบ “ขุน” (เพราะระดับ ๓ ถือเป็นข้าราชการสัญญาบัตร) [ปฏิบัติการ]
ข้าราชการระดับ ๕, ๖ เทียบ “หลวง” [ชำนาญงาน, ปฏิบัติการ (๕), ชำนาญการ (๖)]
ข้าราชการระดับ ๗, ๘ เทียบ “พระ” [อำนวยการระดับต้น (๘), ชำนาญการพิเศษ (๘), ชำนาญการ (๗), อาวุโส (๗-๘)]
ข้าราชการระดับ ๙, ๑๐ เทียบ “พระยา” (โดยระดับ ๑๐ อาจเทียบพระยานาหมื่น คือ ศักดินา ๑๐,๐๐๐ ส่วนระดับ ๙ เทียบพระยาศักดินาต่ำลงมา คือ ๕,๐๐๐) [ทรงคุณวุฒิ (๑๐), เชี่ยวชาญ (๙), อำนวยการระดับสูง (๑๐), ผู้อำนวยการสำนักงาน (๙), อธิบดี (๑๐)]
ข้าราชการระดับ ๑๑ เทียบ “เจ้าพระยา” [บริหารระดับสูง, ปลัดกระทรวง]
ส่วนบรรดาศักดิ์ “สมเด็จเจ้าพระยา” นั้น ต้องยกเป็นตำแหน่งพิเศษออกไป เพราะพระราชทานพิเศษเฉพาะตัวจำนวนไม่มาก จึงเป็นกรณีพิเศษ ไม่อาจเทียบได้กับข้าราชการปัจจุบัน แต่เหมือนกับการยกสามัญชน ขึ้นเทียบเท่าเจ้าต่างกรมมากกว่า อย่างไรก็ตาม เป็นการเทียบเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น

หากจะเทียบขุนนางสมัยก่อนกับข้าราชการในสมัยปัจจุบันอาจเทียบได้ดังนี้ คือ ตำแหน่ง “ปลัดทูลฉลอง” ในสมัยโบราณ ซึ่งปัจจุบันเรียก “ปลัดกระทรวง” นั้น ในสมัยโบราณมักมีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา” ส่วนตำแหน่ง “เจ้ากรม” ในสมัยโบราณ ปัจจุบันเรียก “อธิบดี” สมัยโบราณนั้น เจ้ากรมมักมีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา” หรือ “พระ” เพราะฉะนั้นหากจะเทียบเคียงกันจริง ๆ นั้น เทียบได้ยาก แต่ก็พอเปรียบได้ดังนี้ คือ ปลัดกระทรวง มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยา; รองปลัดกระทรวง, อธิบดี มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา” หรือ “พระ”; รองอธิบดี, ผู้อำนวยการสำนัก มีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวง”; ผู้อำนวยการกอง, หัวหน้ากลุ่มงาน มีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงหรือขุน”:- 
ขุนนาง[35] เป็นคำโบราณหมายถึง ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน แบ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีศักดินาตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป และข้าราชการชั้นผู้น้อยมีศักดินาต่ำกว่า ๔๐๐.

พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง[36]

พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง พ.ศ. ๑๙๙๘ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา เป็นกฎหมายที่กำหนดตำแหน่งศักดินา บรรดาศักดิ์ ลำดับชั้น โครงสร้างส่วนราชการในระบบราชการ สมัยโบราณ เทียบได้กับ กฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ในปัจจุบัน แต่ในกฎหมายนี้ได้กำหนด ฐานานุศักดิ์ (ฐานานุศักดิ์ หมายถึง ตามควรแก่เกียรติศักดิ์ โบราณว่า ศักดิ์ใหญ่และศักดิ์น้อย, ถ้าศักดิ์นาสูงกว่า ๔๐๐ ขึ้นไป เรียกว่า สูงนา หรือ ศักดิ์ใหญ่ ถ้าศักดิ์นาต่ำกว่า ๔๐๐ เรียกว่า ต่ำนา หรือ ศักดิ์น้อย; ศักดิ์ที่พระราชาคณะมีอำนาจตั้งฐานานุกรมได้) ประชาชนตั้งแต่พระมหาอุปราชลงมาจนถึงพลเมืองขั้นต่ำสุดคือทาส พระไอยการนี้ กำหนดให้ประชาชนทุกคนมีศักดินาสูงต่ำ ตามความสำคัญในโครงสร้างสังคม โดยศักดินานี้ กำหนดเป็นไร่ (เท่ากับ ๑,๖๐๐ ตารางเมตร)

ตัวพระไอยการประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ ศักดินาของพลเรือน ศักดินาทหาร และศักดินาของขุนนางในหัวเมืองนอกราชธานี

โครงสร้างศักดินา
พระมหาอุปราช ศักดินา ๑๐๐,๐๐๐; สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าซึ่งทรงกรม ศักดินา ๕๐,๐๐๐; สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ลูกยาเธอเจ้าฟ้าซึ่งทรงกรม ศักดินา ๔๐,๐๐๐; สมเด็จพระเจ้าน้องยา น้องนางเธอ เจ้าฟ้าซึ่งมิได้ทรงกรม ศักดินา ๒๐,๐๐๐; สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ลูกยาเธอซึ่งมิได้ทรงกรม, พระเจ้าน้องยาเธอ น้องนางเธอ พระองค์เจ้าซึ่งทรงกรม, พระเจ้าลูกเธอ ลูกยาเธอ พระองค์เจ้าซึ่งทรงกรม สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าซึ่งทรงกรม ศักดินา ๑๕,๐๐๐; พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าซึ่งทรงกรม ศักดินา ๑๑,๐๐๐; เสนาบดี, แม่ทัพใหญ่, เจ้าเมืองชั้นเอก, เจ้าเมืองชั้นโท ศักดินา ๑๐,๐๐๐; พระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าซึ่งมิได้ทรงกรม ศักดินา ๗,๐๐๐; พระเจ้าลูกเธอ ลูกยาเธอ พระองค์เจ้าซึ่งไม่ทรงกรม ศักดินา ๖,๐๐๐; ขุนนางชั้นเจ้ากรม, แม่ทัพรอง, เจ้าเมืองชั้นตรี ศักดินา ๕,๐๐๐; พระราชวงศ์ ศักดินา ๔,๐๐๐; ขุนนางระดับกลาง ศักดินา ๓,๐๐๐–๒,๔๐๐–๒,๐๐๐; หม่อมเจ้า ศักดินา ๑,๕๐๐; ขุนนางระดับล่าง ศักดินา ๘๐๐

ภริยาของขุนนางที่เป็นภรรยาพระราชทานหรือภรรยาหลวง ถือศักดินาครึ่งหนึ่งของสามี อนุภรรยามีศักดินาครึ่งหนึ่งของภรรยาหลวง ภรรยาทาสที่มีบุตรแล้วศักดินาเท่ากับอนุภรรยา

สามเณรรู้ธรรม (คือสอบได้เปรียญ) ศักดินา ๓๐๐ สามเณรไม่รู้ธรรมศักดินา ๒๐๐ พระภิกษุรู้ธรรมศักดินา ๖๐๐ พระภิกษุไม่รู้ธรรมศักดินา ๔๐๐ พระครูรู้ธรรมศักดินา ๒,๔๐๐ พระครูไม่รู้ธรรมศักดินา ๑,๐๐๐ พราหมณ์มีความรู้ด้านศิลปศาสตร์ศักดินา ๔๐๐ พราหมณ์ทั่วไปศักดินา ๒๐๐ ตาปะขาวรู้ธรรมศักดินา ๒๐๐ ตาปะขาวไม่รู้ธรรมศักดินา ๑๐๐

นอกจากนี้ยังกำหนดไว้ว่า ไพร่ (ประชาชนทั่วไป) มีศักดินา ๑๐-๒๕ ไร่ ทาส, ขอทาน มีศักดินา ๕ ไร่

ศักดินานี้ มิใช่จำนวนที่นาที่ถือครองจริง ๆ เป็นแต่เพียงตัวเลขจัดลำดับชั้น (Ranking) ของประชาชนในราชอาณาจักร เนื่องจากสังคมไทยสมัยโบราณเป็นสังคมเกษตรกรรม การถือครองที่นาเป็นเครื่องชี้ฐานะของคนในสังคม ดังนั้น ระบบการจัดลำดับชั้นของสังคม จึงใช้การนับจำนวนนาเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าใจง่ายในบริบทและโครงสร้างสังคมสมัยนั้น ส่วนจำนวนการถือครองที่นาจริง ๆ นั้นเป็นทรัพย์สิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบศักดินา ดังจะเห็นได้ว่า ทาสและขอทาน หรือพระภิกษุก็มีการกำหนดศักดินาไว้ ศักดินาจึงไม่ใช่สิทธิในการถือครองที่ดิน

ศักดินานี้มีความสำคัญทางกฎหมายเนื่องจากใช้ในการปรับไหม ในทางศาลในคดีละเมิด เช่น หากผู้มีศักดินาสูงละเมิดผู้มีศักดินาต่ำกว่า จะต้องจ่ายค่าสินไหมชดเชยเป็นสัดส่วนตามศักดินาของตน และหากผู้มีศักดินาต่ำไปละเมิดผู้มีศักดินาสูง ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยสินไหมตามศักดินาของผู้มีศักดินาสูงกว่า ดังนั้นศักดินาจึงใช้วัด ค่า ของคนในยุคนั้นตามระบบกฎหมายของรัฐ

หากจะทำความเข้าใจเรื่องฐานันดรโดยละเอียด นั้น สามารถพิจารณาจาก “พระราชบัญญัติถานันดรข้าราชการฝ่ายพลเรือน ร.ศ. ๑๓๐” ซึ่งมีทั้งหมด ๑๐ มาตรา รายละเอียดปรากฏตามสำเนาที่ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาที่แนบประกอบมาพร้อมนี้ด้วยแล้ว








๗ “ตาย” สำหรับ เลข ไพร่หลวง ไพร่สม มหาดเล็กขอเฝ้าเจ้าต่างกรม แลยังไม่ได้ตั้งกรม แลเสมียน ทนายจีน ผูกปี้จีน สัก แลทาสเชลย แลคนลูกค้าต่างประเทศ ที่มิใช่กงสุลแลมิใช่ผู้ช่วยกงสุล ต้องว่า ตาย หมด ว่า ถึงแก่กรรมไม่ได้เลย; สัตว์เดียรัจฉานที่มิใช่สัตว์คนเลี้ยงทั้งปวง คือ นก เนื้อ ปลา ลงไปจน มด ปลวก แลต้นไม้ใบหญ้า ให้ว่า ตายหมด ว่าอย่างอื่นไม่ได้

เลก[37] เป็นคำโบราณหมายถึงชายฉกรรจ์, พลเมืองชั้นสามัญ, เขียนเป็นเลข ก็มี.
ไพร่[38]
สังคมไทยสมัยโบราณ ไพร่ หมายถึง สามัญชนทั่วไปที่มิได้อยู่ในฐานะทาสหรือเจ้าขุนมูลนาย มีอิสระในการประกอบอาชีพ การตั้งบ้านเรือน มีครอบครัว มีศักดินา ๑๐-๒๕ ไร่ และต้องสังกัดมูลนาย จะโยกย้ายสังกัดมิได้ ไพร่ที่ขึ้นสังกัดหรือสักเลกแล้ว จะปรากฏเครื่องหมายสังกัดที่ข้อมือ 
วิธีสักเลขหมายหมู่ตามประเพณีแต่ก่อนมา ถ้ารัชกาลก่อนสักตรงแขนข้างท้องมือ รัชกาลต่อมาสักแขนข้างหลังมือ ถึงรัชกาลต่อไป กลับไปสักข้างท้องมืออีก:- พระราชกำหนดสักเลข รัชกาลที่ ๒

หากสามัญชนผู้ใดไม่ได้สังกัดมูลนายจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ไพร่มีหน้าที่ในการถูกเกณฑ์แรงงานหรือเสีย ส่วย และถูกเกณฑ์ทหารในยามศึกสงคราม มีสองประเภท คือ ไพร่หลวงและไพร่สม

ไพร่หลวง คือ ไพร่ที่สังกัดกรมกองต่าง ๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ประเภทที่ต้องถูกเกณฑ์มาทำงานตามราชการกำหนด และประเภทที่ต้องเสียเงินหรือสิ่งของแทนการเกณฑ์แรงงานหรือที่เรียกว่า ไพร่ส่วย การส่งเงินมาแทนการเกณฑ์แรงงาน เงินที่ส่งมาเรียกว่า เงินค่าราชการ
ไพร่สม คือ ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้มูลนายและขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน มูลนายจะมีไพร่มากน้อยขึ้นอยู่กับ ยศ ตำแหน่ง ศักดินา ไพร่สมต้องทำงานให้ราชสำนักปีละ ๑ เดือน ส่วนเวลาที่เหลือรับใช้มูลนายหรือส่งเงินแทน เมื่อถึงยามสงครามต้องเป็นทหารป้องกันอาณาจักร เมื่อมูลนายถึงแก่กรรมไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตรจะขอควบคุมไพร่สมต่อจากบิดา

ระบบไพร่ดำรงอยู่จนกระทั่งถึงกลางสมัยรัตนโกสินทร์ และค่อย ๆ จางหายไปเอง เมื่อมีการนำระบบภาษีอากร และระบบเกณฑ์ทหารแบบสมัยใหม่มาใช้

มหาดเล็ก
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ ให้ความหมายคำว่า “มหาดเล็ก”[39] ไว้ว่าหมายถึง 
ข้าราชการในราชสำนักมีหน้าที่รับใช้พระมหากษัตริย์, ผู้ที่รับใช้ประจำเจ้านาย หรือผู้ที่ถวายตัวเป็นผู้รับใช้เจ้านาย. “มหาดเล็กรายงาน” เป็นคำโบราณ หมายถึง มหาดเล็กซึ่งมีหน้าที่รายงานการสร้างวัดหรือคนเจ็บป่วยเป็นต้น; ชื่อตำแหน่งราชการชั้นฝึกหัดในหัวเมือง.

การแบ่งประเภท[40]
สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำอธิบายเกี่ยวกับมหาดเล็กไว้ว่า มหาดเล็กได้มีมาแต่โบราณ ตราขึ้นในรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑พ.ศ. ๒๐๓๑) ซึ่งได้กำหนดศักดินามหาดเล็กไว้ด้วย เช่น
นายศักดิ์ นายฤทธิ นายสิท และนายเดช มีศักดินา ๘๐๐นายจ่าเรศ นายจ่ายง นายจ่ารง และนายจ่ายวด มีศักดินา ๖๐๐
พระราชบัญญัติกรมมหาดเล็ก ซึ่งตราขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แบ่งมหาดเล็กเป็น ๔ จำพวก ดังนี้:-

๑ มหาดเล็กบรรดาศักดิ์ ได้แก่ บรรดามหาดเล็กที่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร ไม่ว่าจะเข้าเวรรับราชการหรือมิได้เข้าเวรรับราชการก็ตาม
๒ มหาดเล็กวิเศษ ได้แก่ บรรดาบุตรข้าราชการที่ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก
๓ มหาดเล็กคงกรม ได้แก่ บรรดามหาดเล็กจำพวกต่าง ๆ คือ หม่อมราชวงศ์ ยามค่ำเดือนหมาย ห้องเครื่อง หอศาสตราคม อินทร์พรหม เกณฑ์จ่าย ช่าง ต่างภาษา พิณพาทย์ และคนจำพวกที่จางวางหัวหมื่นและนายเวรจัดขึ้นรับราชการ และบรรดาคนที่ไม่ได้ถวายตัว
จางวาง[41] เป็นคำโบราณซึ่งเลิกใช้แล้ว เป็นตำแหน่งข้าราชการชั้นสูงกว่าเจ้ากรมที่มิใช่กรมเสนาบดี ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา กำกับดูแลกรมนั้น ๆ, ตำแหน่งในสังกัดของเจ้านายที่ทรงกรมทำหน้าที่กำกับดูแลกรมเจ้านาย, ตำแหน่งข้าราชการชั้นสูงในกรมมหาดเล็ก ตั้งขึ้นในรัชกาลที่ ๔ มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวหมื่นมหาดเล็ก : หัวหมื่น[42] คำโบราณ เป็นตำแหน่งข้าราชการในกรมมหาดเล็ก มี ๔ ตำแหน่ง เดิมเรียกว่าหมื่น เจ้าหมื่น และจมื่น เช่น หมื่นสรรเพธภักดี เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ตำแหน่งหัวหมื่นทั้งสี่อยู่ภายใต้การดูแลของจางวางกรมมหาดเล็ก; เจ้าพนักงานระดับหนึ่งในกรมมหาดไทยและกรมพระกลาโหม รองจากขุนสูงกว่าหัวพัน เช่น หัวหมื่นทลวงฟัน หัวหมื่นเครื่องต้น ในกฎหมายตราสามดวง.

๔ มหาดเล็กยาม ได้แก่มหาดเล็กที่จางวางคัดเลือกจากมหาดเล็กวิเศษหรือมหาดเล็กคงกรมที่มีคุณวุฒิสมควรเข้ารับราชการได้ ยกขึ้นเป็นมหาดเล็กประจำการเข้าเวรรับราชการที่ได้รับพระราชทานเงินเดือน

สำหรับ มหาดเล็กไล่กาไม่จัดเข้าประเภทดังข้างต้น แต่เป็นทหารเด็กที่แต่เดิมเป็นเด็กผู้ชายที่เข้าไปอยู่ในวังกับญาติตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ดังปรากฏในหนังสือ สาส์นสมเด็จสรุปความได้ว่า มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่โปรดให้เด็กเล็กดังกล่าวเป็นพนักงานไล่กา ณ ที่ทรงบาตร จึงเรียกกันว่า มหาดเล็กไล่กาต่อมาสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเมื่อแรกเสวยราชย์ ได้โปรดให้รื้อฟื้นมาใช้ในราชสำนักอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเสด็จลงทรงบาตรทุกวัน และต่อมาได้โปรดให้เด็กที่ทำหน้าที่ไล่กาแต่งเครื่องแบบและฝึกทหารรวมจำนวนกันได้ประมาณ ๓๐ คน และว่าอาจเป็นการเริ่มแรกที่จะมีทหารมหาดเล็กด้วย ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๑๓ เมื่อมีการแห่โสกันต์พระเจ้าน้องนางเธอฝ่ายใน ได้โปรดให้ทหารมหาดเล็กไล่กาเดินนำกระบวนแห่

ลำดับศักดิ์
สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า มหาดเล็กบรรดาศักดิ์ เป็นมหาดเล็กที่สูงสุดเพราะได้รับพระราชทานสัญญาบัตร ส่วน มหาดเล็กวิเศษ หมายถึงบุตรข้าราชการที่ถวายตัวซึ่งค่อนข้างเป็นผู้ดี มหาดเล็กจงกรม มีความหมายกว้าง ส่วน มหาดเล็กยาม หมายถึงมหาดเล็กที่จางวางคัดตัวจากมหาดเล็กวิเศษและมหาดเล็กจงกรมที่มีคุณวุฒิยกเป็นมหาดเล็กประจำการรับราชการได้ และได้รับพระราชทานเงินเดือน ตำแหน่งต่าง ๆ ในกรมมหาดเล็กมี ๗ ชั้น ดังนี้:- ๑ ผู้บัญชาการกรมมหาดเล็ก, ๒ จางวางหัวหมื่น, ๓ นายเวร, ๔ จ่า, ๕ หุ้มแพร, ๖ นายรอง, ๗ มหาดเล็กวิเศษ

สำหรับ สารวัตรมหาดเล็กและ มหาดเล็กยามมิได้นับเข้าไว้ในลำดับข้างต้น

ตำแหน่ง
ตำแหน่งสูงสุด คือ ผู้บัญชาการกรมมหาดเล็ก นั้น เป็นตำแหน่งสูงสุดในกรมมหาดเล็ก นับแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ยังมิได้เคยโปรดเกล้าฯ ตั้งผู้ใด นอกจากพระราชโอรสซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้บัญชาการ ตำแหน่งนี้มีหน้าที่สำหรับบังคับบัญชาการในกรมมหาดเล็กทั่วไป ผู้ทรงดำรงตำแหน่งนี้เป็นพระองค์สุดท้ายในรัชกาลที่ ๕ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ สิ้นพระชนม์พระชันษาเพียง ๑๗ พรรษา หลังจากทรงดำรงตำแหน่งนี้เพียงไม่ถึง ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงไม่โปรดฯ ตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดเป็นผู้บัญชาการกรมมหาดเล็กอีก ว่ากันว่าทรงมีพระราชปรารภถึง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ว่าเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็กได้ไม่นานก็สวรรคต พระชันษาเพียง ๑๗ ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ได้ไม่ทันไรก็สิ้นพระชนม์อีก ทำให้ทรงพระราชดำริว่า ตำแหน่งนี้อาจมีอาถรรพ์ จึงไม่โปรดฯ ตั้งพระราชโอรสพระองค์ใดอีก คงว่างอยู่ตลอดรัชกาล สมัยรัชกาลที่ ๖ ผู้บัญชาการได้แก่ พลเอก จางวางเอก มหาเสวกเอก เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) ตำแหน่งอื่นนอกจากนี้ได้มีการจำแนกตำแหน่งอื่น ๆ เช่น จางวาง หัวหมื่น นายเวร นายจ่า หุ้มแพรและรองหุ้มแพรออกเป็นหลายชั้น

ยศมหาดเล็กเมื่อเทียบยศทหารจะได้ดังนี้

จางวางเอก เทียบเท่า พลเอก
จางวางโท เทียบเท่า พลโท
จางวางตรี เทียบเท่า พลตรี
หัวหมื่น เทียบเท่า พันเอก
รองหัวหมื่น เทียบเท่า พันโท
จ่า เทียบเท่า พันตรี
หุ้มแพร เทียบเท่า ร้อยเอก
รองหุ้มแพร เทียบเท่า ร้อยโท
มหาดเล็กวิเศษ เทียบเท่า ร้อยตรี
มหาดเล็กสำรอง เทียบเท่า ว่าที่ร้อยตรี




มหาดเล็กหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบตำแหน่งมหาดเล็กบางตำแหน่ง แต่เมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรได้ลดฐานะกรมมหาดเล็กลงมาเป็นเพียง กองมหาดเล็กสังกัดสำนักพระราชวัง และให้ข้าราชการมหาดเล็กมีฐานะเป็นข้าราชการพลเรือน ให้มีเลขาธิการและรองเลขาธิการสำนักพระราชวังเป็นผู้บังคับบัญชา

สัตว์ที่เป็นของคนเลี้ยง คือ ช้าง ม้า โค กระบือ แพะ แกะ แลนกเขา ไก่ เป็ด ปลาเงินปลาทอง ให้ว่าล้ม หรือจะว่าล้มแต่ช้างม้าขึ้นระวาง นอกนั้นจะว่าตายก็ได้

พิจารณาตามประกาศฯ แล้วเห็นว่า ช้าง ม้า หากขึ้นระวาง (ขึ้นระวาง[43] มีความหมายว่า:- เข้าทำเนียบ, เข้าประจำการ ใช้แก่พาหนะของหลวง คือ ม้า ช้าง รถ และเรือ) พึงใช้ ล้ม แต่หากมิได้ขึ้นระวางและเป็นสัตว์ที่เป็นของคนเลี้ยงจะใช้ล้มหรือตายได้หมด แม้แต่ปลาเงินปลาทองเมื่อตายลงก็ว่าล้มหรือตายเพราะเป็นของคนเลี้ยง มีประเด็นพิจารณาต่อไปว่า แล้วสัตว์ที่มิได้เป็นของคนเลี้ยง เช่น สัตว์ป่า สัตว์ที่อยู่ในแม่น้ำ ฯลฯ จะใช้ว่าล้มได้หรือไม่ ประเด็นนี้เมื่อพิจารณาจากประกาศฯ แล้ว เห็นว่า ย่อมใช้มิได้ ต้องใช้ว่าตาย เพราะสัตว์เดียรัจฉานที่มิใช่สัตว์คนเลี้ยงทั้งปวง คือ นก เนื้อ ปลา ลงไปจน มด ปลวก แลต้นไม้ใบหญ้า ให้ว่า ‘ตาย’ หมด ว่าอย่างอื่นไม่ได้

คำว่า “ถึงแก่กรรม” ประกาศฯ กำหนดให้ใช้ได้แต่ผู้มีบรรดาศักดิ์ ไพร่ใช้ไม่ได้:- 

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ ให้ความหมายคำว่า “ถึงแก่มรณกรรม”[44] ไว้ว่า หมายถึง “ตาย” เป็นคำสุภาพ ใช้แก่คนทั่วไป, ถึงแก่กรรม หรือ ถึงมรณกรรม ก็ว่า. ดังนั้น จึงต้องยึดตามนัยที่พจนานุกรมฯ ให้ไว้ ซึ่งเป็นปัจจุบันสมัยกว่าประกาศฯ คือ คนทั่วไปแม้มิได้มีฐานันดรหากสิ้นลมเสียแล้วประสงค์จะใช้ว่าตาย ถึงแก่กรรม หรือถึงแก่มรณกรรมก็ล้วนได้ทั้งสิ้น จะยึดตามประกาศฯ เห็นว่ามิสมควรด้วยเป็นของเก่าครั้งยังมีบรรดาศักดิ์ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง

สรุป

กล่าวโดยสรุป จากการพิจารณาถ้อยคำตามประกาศฯ พบว่าบริบทของคำว่า “ตาย” สามารถใช้ประกอบการวิเคราะห์ความเป็นไปเชิงสังคมจากบทนิยามของคำในภาษาไทยได้อย่างน้อย ๓ ประการ

ประการที่ ๑ ชนชั้น
รูปแบบสังคมไทยเป็นรูปแบบจำแนกคุณค่าของคนจากชนชั้น ชาติกำเนิด และสถานะ แต่อย่างไรก็ตาม ชนชั้น ชาติกำเนิด หรือสถานะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสูงขึ้นหรือต่ำลง อย่างครั้งอดีตจากตัวอักษรในประกาศฯ หากกำเนิดมาเป็นไพร่ ถึงคราวสิ้นสภาพของการมีชีวิตก็ต้องว่าตาย สถานะของคำเสมอสัตว์เดียรัจฉานที่มิใช่สัตว์คนเลี้ยงทั้งปวงอย่างนกเนื้อปลาลงไปจนมดปลวกแลต้นไม้ใบหญ้าทีเดียว เพราะเมื่อสิ่งเหล่าที่กล่าวมาข้างต้นหมดอายุตามประกาศฯ กำหนดให้ใช้ตายเช่นกัน แต่หากไพร่นั้นเองได้เข้าบวชเรียนกลายเป็นพระภิกษุหรือสามเณรและสอบไล่ได้เปรียญธรรม จากแต่เดิมเป็นไพร่ก็กลายเป็นพระสงฆ์มีบรรดาศักดิ์ เมื่อตายลงก็ต้องว่าถึงแก่มรณภาพ แลหากได้ถึงชั้นสมเด็จพระสังฆราชซึ่งก็เป็นไปได้มิได้มีข้อหวงกั้นแต่อย่างใด ก็ต้องว่าสิ้นพระชนม์ จากสถานะเดิมเป็นสามัญชนชั้นไพร่ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นใช้ราชาศัพท์เสมอเจ้า หรือเมื่อบวชเรียนแล้วหน่ายธรรมประสงค์จะกลับเป็นฆราวาส ลาสิกขามาครองเรือน และเข้ารับราชการกระทั่งเจริญก้าวหน้าเป็นเจ้าพระยานาหมื่น ถึงคราวสิ้นใจก็ต้องว่าถึงอนิจกรรมอย่างชนชั้นขุนนางมิใช่ตายอย่างไพร่ตามชาติกำเนิด

ประการที่ ๒ รูปแบบการปกครอง
รูปแบบการปกครองสมัยเก่าเป็นลักษณะการกระจายอำนาจให้ขุนนางไปกินเมือง แต่ละเมืองก็มีระดับความสำคัญใหญ่น้อยลดหลั่นกันไป เมืองที่ครอง มีสถานะความสำคัญระดับใดย่อมพิจารณาได้จากเมื่อผู้ครองเมืองตายลง โดยพิจารณาจากระดับชั้นของคำว่าตาย เช่น ผู้ครองเมืองถึงแก่พิราลัยก็ย่อมเล็งเห็นได้ว่าต้องเป็นระดับเจ้าประเทศราช ถ้าผู้ครองเมืองถึงแก่อนิจกรรมผู้ครองเมืองนั้นก็คงเป็นเจ้าพระยานาหมื่น ถ้าถึงแก่กรรมก็พอคาดเดาได้ว่า ผู้ครองเมืองนั้นคงจะครองเพียงระดับอำเภอชั้นคุณหลวง คุณพระ

ประการที่ ๓ การเปลี่ยนแปลง
จะเห็นได้ว่า เมื่อกาลเปลี่ยน รูปแบบการปกครองเปลี่ยน บริบทของคำว่าตายก็ปรับเปลี่ยนไปตามกาลสมัยด้วย อย่างคำว่า “ถึงแก่กรรม” ประกาศฯ กำหนดให้ใช้ได้แต่ผู้มีบรรดาศักดิ์ ไพร่ใช้ไม่ได้ แต่พจนานุกรมฯ ฉบับปัจจุบัน ให้ความหมายของคำว่า ถึงแก่กรรม หรือ ถึงมรณกรรมว่า หมายถึง ตาย เป็นคำสุภาพ ใช้แก่คนทั่วไป ดังนั้น คนทั่วไปซึ่งเสมอไพร่ครั้งกาลอดีตแม้ในปัจจุบันมิได้มียศถาบรรดาศักดิ์ใดเมื่อตายจะใช้ถึงแก่กรรมหรือถึงแก่มรณกรรมก็ย่อมได้ เพราะนิยามของคำเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ศักดินา บรรดาศักดิ์ ได้สิ้นสภาพไปแล้วทางรูปแบบ แต่บริบททางชนชั้นก็ยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทย เพียงแต่คลายตัวลงบ้างเท่านั้น เพราะปัจจุบันสมัยระดับภาษาของคำว่าตายก็ยังใช้เชิงจำแนกตามชาติกำเนิดและสถานะทางสังคมอยู่เช่นกาลอดีต


GPJ memos



[1] จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, ๒๓๔๗ – ๒๔๑๑, รวมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔, กรุงเทพฯ, องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๘, หน้า ๕๐๑-๕๐๒
[2] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖, หน้า ๑๑๘๔
[3] ราชาศัพท์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพ, ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔, หน้า ๑๓
[4] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๕๗๒
[5] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๑๒๓๕
[6] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๓), หน้า ๑๒๒
[7] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๑๒๓๔
[8] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๔๘๓
[9] “ฐานันดรศักดิ์ไทย”, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, ๒ มิถุนายน ๒๕๕๕, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ https://th.wikipedia.org/wiki/ฐานันดรศักดิ์ไทย
[10] “พระยศเจ้านายไทย”, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย. ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ https://th.wikipedia.org/wiki/พระยศเจ้านายไทย
[11] “หม่อมราชนิกุล”, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/หม่อมราชนิกุล
[12] “ณ อยุธยา”, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/_อยุธยา
[13] “การเฉลิมพระยศเจ้านาย”, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/การเฉลิมพระยศเจ้านาย
[14] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๘๓๗-๘๓๘
[15] “ประเทศราช”, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศราช
[16] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๕๓๒
[17] “สมณศักดิ์”, ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/สมณศักดิ์
[18]สมเด็จพระสังฆราช, ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙,https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระสังฆราช 
[19] “สมเด็จพระราชาคณะ, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙,https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระราชาคณะ
[20] “พระราชาคณะเจ้าคณะรอง, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชาคณะเจ้าคณะรอง
[21]พระราชาคณะชั้นธรรม, ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชาคณะชั้นธรรม 
[22]พระครูสัญญาบัตร, มกราคม ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/พระครูสัญญาบัตร 
[23]ประทวนสมณศักดิ์, ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙,https://th.wikipedia.org/wiki/ประทวนสมณศักดิ์ 
[24]พระมหา, ธันวาคม ๒๕๕๗, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/พระมหา
[25] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๕๓๒
[26] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๘๑๑
[27]เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า”, ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
[28] “ข้าราชการพลเรือนสามัญ”, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/ข้าราชการพลเรือนสามัญ
[29] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๑๒๐๓
[30] “ยศทหารและตำรวจไทย”, ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/ยศทหารและตำรวจไทย
[31] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๙๙๕
[32]บรรดาศักดิ์ไทย, พฤษภาคม ๒๕๕๙, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/บรรดาศักดิ์ไทย
[33] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๑๒
[34] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๓๓๕
[35] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๒๐๓
[36]พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง”, ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน_นาทหาร_หัวเมือง 
[37] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๑๐๗๖
[38]ไพร่”, ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/ไพร่
[39] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๘๘๔
[40]มหาดเล็ก, ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, มูลนิธิวิกิมีเดีย, เว็บ, สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙, https://th.wikipedia.org/wiki/มหาดเล็ก
[41] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๓๑๕
[42] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๑๓๒๗-๑๓๒๘
[43] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๒๐๒
[44] โปรดดูเชิงอรรถที่ (๒), หน้า ๕๓๒