วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2563


กฎหมายโดยแท้
.

พระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด ที่ผ่าน “รัฐสภา” เท่านั้นที่เป็น “กฎหมายโดยแท้
.
ประกาศ หรือ กฎกระทรวง ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติต่าง ๆ เป็น “การกระทำทางฝ่ายบริหาร” ให้ “มีผลบังคับ” ดังเช่นกฎหมาย “แต่ก็มิใช่กฎหมาย(คำพิพากษาฎีกาที่ 1486/2520)
.....

หมายเหตุ – ผู้รวบรวม [GPJ]
แล้ว “การกระทำทางฝ่ายบริหาร” ตามนัยคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว จะเรียกว่ากระไร “หากไม่เรียกกฎหมาย
.
เมื่อพิจารณาจาก พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง มาตรา 3 แล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง เรียก “การกระทำทางฝ่ายบริหาร” นั้นว่า “กฎ
.
ทั้งนี้ ในเชิงวิชาการทาง กฎหมายมหาชน มีความเห็นว่า นิยามดังกล่าว เป็นการมองกฎหมาย “อย่างแคบ” ซึ่งถ้ามอง “อย่างกว้าง - “กฎ” หรือบ้างเรียก “อนุบัญญัติ” ก็เป็น “กฎหมาย” นั่นเอง
.....

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562

“หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น” กับกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นกรรมาธิการงบประมาณ


ประเด็นข่าว “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 มีความน่าสนใจว่า แล้วนายธนาธรฯ เป็นกรรมาธิการฯ ดังกล่าวได้หรือไม่ เราลองมาพิจารณาว่า จะมีหลักกฎหมายประการใดมาปรับใช้ได้บ้าง
.
เนื่องจาก นายธนาธรฯ เป็น ส.ส. แต่ขณะนี้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
.
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เห็นว่า การตั้งคณะกรรมาธิการ เป็นเรื่องของสภาฯ ลงมติตั้ง “ใครก็ได้” เป็นกรรมาธิการวิสามัญ
.
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เห็นภาคเสธ คือ แบ่งรับแบ่งสู้ว่า กรรมาธิการวิสามัญฯ คือ กลุ่มบุคคล ที่สภาผู้แทนราษฎรมอบหมายให้ไปทำหน้าที่แทน แตกต่างกับกรรมาธิการสามัญฯ ตรงที่กรรมาธิการสามัญ ต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น ส่วนกรรมาธิการวิสามัญ อาจจะเป็น “บุคคลภายนอกที่ไม่เป็น ส.ส.
.
นายสิระ เจนจาคะ จากพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่านายธนาธรฯ ยังคงมีสถานะเป็น ส.ส. แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นกรรมาธิการ หากมีปล่อยให้ร่วมประชุมและมีการลงมติต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่จะส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นโมฆะไปด้วย
.
กฎหมายมหาชน มีหลักประการหนึ่ง เรียกหลักนั้นว่า ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ (argumentum a fortiori)
.
หลักการ ‘อุดช่องว่าง’ ของกฎหมายโดยให้เหตุผลในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ ๒ กรณี คือ การให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งเล็กกว่า (argumentum a maiore ad minus) และการให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่เล็กไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (argumentum a minore ad maius)
.
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ใช้กฎหมายย่อมสามารถอุดช่องว่างของกฎหมายได้’ หากปรากฏจาก ‘วัตถุประสงค์’ ของการตรากฎหมายแล้ว ‘เห็นประจักษ์ชัด’ ว่าข้อเท็จจริงที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงนั้น จะต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งเสียกว่า
.
จากข้อเท็จจริงตามความเห็นของนายชวนฯ และนายวิษณุฯ ที่เห็นสอดคล้องกันสรุปได้ว่า การเป็นกรรมาธิการฯ จะเป็นผู้ที่มาจาก ส.ส. หรือมิใช่ ส.ส. ก็ย่อมได้ ข้อเท็จจริง นายธนาธรฯ เป็น ส.ส. เพียงแต่ศาลฯ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เท่านั้น เมื่อผู้ที่แม้มิได้เป็น ส.ส. ยังเป็นกรรมาธิการฯ ได้ ภายใต้ “หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น” ที่ยกมา จึงเห็นว่า นายธนาธรฯ ยิ่งต้องเป็นกรรมาธิการฯ ได้
.

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562


ภาพนี้มีชื่อว่า ‘The Tavern Sceneเป็นผลงานจากการรังสรรค์ของจิตรกรชาวอังกฤษนาม วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) ในปี ค.ศ. 1735 บ้างเรียกภาพนี้ว่า ‘The Orgyที่สื่อถึงโลกียชนผู้เริงรมย์อย่างขาดสติ ภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพชุด A Rake's Progress ซึ่งทั้งชุดมีจำนวนทั้งสิ้น 8 ภาพ ถูกถ่ายทอดออกมาระหว่างปี ค.ศ. 1732-33 โดยภาพ The Tavern Scene เป็นภาพในลำดับที่ 3
…..
ภาพสำแดงให้เห็นถึงความมัวเมา ฟุ้งเฟ้อ ในการเดินทางมาใช้ชีวิตของ ทอม แรคเวลล์ (Tom Rakewell) ในลอนดอน ด้วยการรายล้อมไปด้วยนางโลมและการพนัน ณ สถานเริงรมย์ ถ้าสังเกตให้ดี ในภาพจะเห็นถึงจุดด่างบนเรือนหน้าของนามโลมนั้น ก็เพื่ออำพรางรอยแผลของซิฟิลิส ทั้งนี้ แรคเวลล์ โดยแท้เป็นบุตรชายของคหบดีผู้มั่งคั่ง แต่ชีวิตเขากลับต้องไปจบลงที่เรือนจำฟลีต (Fleet Prison) และท้ายสุดที่โรงพยาบาลเบธเล็ม (Bethlem Hospital)
.....
หากพิเคราะห์จากบริบทเชิงประวัติศาสตร์ ภาพชุดนี้ เกิดขึ้นในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 18 ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) และเป็นยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญแก่เหตุผลก่อนที่จะค่อยจางคลายไปภายใต้แนวคิดศิลปะจินตนิยม (Romanticism) ที่จะเริ่มต้นในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญแก่อารมณ์เข้ามาแทนที่
.....

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

Dixit Dominus, HWV 232 - Last Chorus “Et in saecula saeculorum Amen” from Gloria Patri et Filio by George Frideric Handel


สุนทรียภาพของการขับร้องประสานเสียง (chorus) คือ สิ่งที่ภาษาเชิงสุนทรียศาสตร์ให้นิยามว่า harmony หรือ ความกลมกลืนกัน เป็นเสน่ห์แห่งพลังเสียงที่ส่งผ่านลำคอของกลุ่มนักร้อง ที่สำแดงถึงการผ่านกระบวนการฝึกซ้อมร่วมกันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญะแห่งการพลีกรรมเพื่อบูชาอะไรบางอย่างที่สถิตอยู่เบื้องบน
.....
บทเพลงสดุดี (psalm) Dixit Dominus, HWV 232 - Last Chorus “Et in saecula saeculorum Amen” from Gloria Patri et Filio ของ แฮนเดิล (George Frideric Handel) เพลงนี้ ถูกรังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 1707 ในอิตาลี ภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลขุนนางผู้ทรงอิทธิพลในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance : 1400–1600) นาม “โคลอนนา” (Colonna)
.....
“Dixit Dominus” เป็นภาษาลาติน ที่หมายถึง “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ถูกแฮนเดิลจัดวางโครงสร้างทางดนตรีในแนว “บาโรค” (Baroque : 1600–1750) ซึ่งเป็นดนตรีคลาสสิคที่เปลี่ยนผ่านจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่คีตกวีจะเน้นสรรค์สร้างผลงานขึ้นเพื่อรับใช้ศาสนา ภายใต้การครอบงำของศาสนจักร เข้าสู่การรับใช้กลุ่มชนชั้นสูงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ดนตรียังคงเป็นเครื่องมือเชิงชนชั้นที่ผูกสัมพันธ์กับศาสนาอย่างแนบแน่น
.....

หลักยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น (argumentum a fortiori)


หากบนสนามหญ้าด้านหน้าอาคารแห่งหนึ่งปักป้ายห้ามว่า ‘ห้ามเดินลัดสนาม’ เกิดมีใครสักผู้หนึ่งตั้งปุจฉาว่า แล้วถ้า ‘วิ่งลัดสนาม’ ล่ะจะผิดหรือไม่?
.....
กรณีตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด ‘วิ่งลัดสนาม’ ย่อมไม่เข้าองค์ประกอบเพราะป้ายห้ามเฉพาะกริยาเดิน แต่กฎหมายนั้นมิอาจพิจารณาแต่ตัวอักษร กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางประการของบุคคลผู้ออกกฎเกณฑ์ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์อะไรบางอย่าง ดังนั้น การตีความกฎหมายจึงต้องแสวงหาวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์แห่งกฎเกณฑ์ที่ออกมาเพื่อใช้บังคับบนตัวอักษรด้วยอีกชั้นหนึ่ง
.....
กฎหมายปกครองมีหลักประการหนึ่ง เรียกหลักนั้นว่า ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ (argumentum a fortiori)
…..
หลักการ ‘อุดช่องว่าง’ ของกฎหมายโดยให้เหตุผลในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ ๒ กรณี คือ การให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งเล็กกว่า (argumentum a maiore ad minus) และการให้เหตุผลแบบ ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ จากสิ่งที่เล็กไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า (argumentum a minore ad maius)
.....
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ใช้กฎหมายย่อมสามารถอุดช่องว่างของกฎหมายได้’ หากปรากฏจาก ‘วัตถุประสงค์’ ของการตรากฎหมายแล้ว ‘เห็นประจักษ์ชัด’ ว่าข้อเท็จจริงที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่กฎหมายบัญญัติไว้ยิ่งเสียกว่า
…..
จากอุทาหรณ์ที่ยกมาข้างต้น พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าข้อห้ามเดินลัดสนามมิได้มุ่งที่การเดินลัดสนามโดยแท้ แต่มุ่งคุ้มครองพื้นสนามให้พ้นเสียจากการถูกทำลายโดยผลแห่งการเดินลัดสนามของผู้หนึ่งผู้ใด เป็นสำคัญ
.....
ดังนั้น เมื่อเดินลัดสนามยังห้าม การวิ่งลัดสนามยิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกัน เพราะการกระทำเช่นว่านั้น ย่อมขัดต่อวัตถุประสงค์ของป้ายห้ามเสียยิ่งกว่าการเดิน ตามนัยหลัก ‘ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น’ ด้วยประการฉะนี้
.....
สรุปสาระจากคำบรรยายของอ.วรพจน์ฯ นำมาอธิบายขยายความโดยพิสดาร เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติราชการ
…..

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

Frédéric Chopin Piano Concerto N.º 2 Op. 21 in F minor


Piano Concerto ลำดับที่ 2 ในบันไดเสียง F minor ของ Chopin เป็นผลงานลำดับที่ 21 จากผลงานที่ Chopin ประพันธ์ไว้ทั้งหมด
.....
คอนแชร์โตบทนี้ ประกอบด้วย 3 มูฟเมนต์
1. Maestoso
2. Larghetto
3. Allegro vivace
.....
ผลงานชิ้นนี้บรรเลงโดย London Symphony Orchestra โดยมี Arthur Rubinstein เล่นเปียโน และ André Previn กำกับวง
.....
Chopin ประพันธ์เพลงนี้ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากความรักที่มีต่อหญิงสาวนางหนึ่งนาม “คอนสแตนซา แกลดคอฟสกา” (Konstancja Gładkowska) เธอเป็นนักร้องโอเปราที่ศึกษาอยู่สถาบันดนตรีแห่งวอร์ซอเช่นเดียวกับ Chopin
.....
Chopin หลงรักหญิงสาวนางนี้ตั้งแต่แรกพบ แต่ด้วยเขาเป็นชายหนุ่มผู้ขี้อายมิได้กร้านสตรีเพศ จึงหาได้เผยความในใจต่อเธอไม่ คงมีแต่เพียงจดหมายที่เขียนบรรยายความในใจที่เขามีต่อเธอแก่เพื่อนสนิทเท่านั้น และเมื่อเวลาล่วงไป “คอนสแตนซา” หญิงสาวที่เขาหลงรักก็ได้เข้าพิธีวิวาห์ไปกับชายอื่น หลงเหลือเพียงบทเพลงนี้ทิ้งไว้ในความทรงจำ
.....

O mio babbino caro

โอยยย... ไพเราะจับใจเหลือเกิน ฟังไปน้ำตาคลอไป แต่พอจบเพลงมันช่างเป็นรอยน้ำตาที่เปี่ยมสุข ถึงกับต้องแอบอมยิ้มให้แก่หนูน้อย Amira Willighagen กันเลยทีเดียว
…..
“O mio babbino caro” เป็นภาษาอิตาเลี่ยน ความหมายว่า “โอ้คุณพ่อที่รัก” เป็นบทเพลงในอุปรากรเรื่อง Gianni Schicchi ประพันธ์โดย Puccini
…..
บทเพลงนี้ผ่านการขับร้องจากนักร้องเสียง Soprano เรืองนามมาหลากหลายแล้ว ทั้ง Maria Callas, Renee Fleming, Dame Elisabeth Schwarzkopf, Hayley Westenra หรือ Angela Gheorghiu ซึ่ง version หนูน้อย Amira Willighagen นี้ ขับร้องออกมาได้รวดร้าวสะเทือนใจมิได้หย่อนไปกว่าใครเลย
…..
เสียง Soprano ถ้าเปรียบเป็นนักซูโม่ก็ต้องเป็นตำแหน่ง “โยโกสุนะ” ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดของซูโม่ เพราะโทนเสียง Soprano คือโทนเสียงที่สูงที่สุดของนักร้อง Opera
.....
เนื้อหาเพลง O mio babbino caro พรรณาถึงหญิงสาวที่ทอดใจรำพึงถึงชายหนุ่มคนรักที่ตัดพ้อต่อบิดาของนาง ว่า พ่อจ๋า ได้โปรดสงสารลูกสาวคนนี้ให้สุขสมหวังในรักด้วยเถิด ประมาณนั้น
.....

ในอุปรากร ท่อนที่ทำให้เกิดอารมณ์ซาบซึ้งสะเทือนใจบีบเค้นน้ำตาเรียกกันว่าท่อน Aria” ซึ่งโดยมากมักมีเนื้อหาพรรณาถึงความรัก ความดื่มด่ำใจ ทั้งโศกศัลย์แลเปี่ยมสุข เช่น บทเพลง O mio babbino caro นี้